
หากพูดถึงการลงทุนในจีน หลายคนเบือนหน้าหนี ไหนจะถูกท่านผู้นำ USA รังควาญ ว่าแย่งงาน กดค่าเงิน บิดเบือนตลาดไหนจะกังวลเรื่อง ฟองสบู่อสังหาฯ ธนาคาร Shadow banking ที่คอยสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนในหลายสำนัก ไม่ใช่แค่ท่านผู้อ่านที่กังวล เพราะ Fund manager หลายต่อหลายที่ ลดดีกรี ผ่อนน้ำหนักการลงทุนในตลาดจีนลงกว่าปกติมานาน
เอาหละมีความกังวลไหนอีกที่มีกับตลาดจีน? จากความกังวลหลัก ๆ ของจีนตลาดรับรู้ไปเกือบหมดแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ..!
1. ตลาดจีน ถูกลดน้ำหนักการลงทุนมานาน เรียกว่าต่ำสุดในรอบทศวรรษ โอกาสลดลงไปกว่านี้น้อยแล้ว เมื่อ (เกือบ) ทุกคนขาย ก็เหลือแต่ผู้ (อยากจะ) ซื้อ
2. ความกังวลเรื่องวิกฤติการเงินจากหนี้ที่สูง แน่นอนว่าหนี้ยิ่งสูงยิ่งเสี่ยง แต่สิ่งสำคัญคือหนี้ของจีนส่วนใหญ่มาจากหนี้เพื่อการลงทุน ไม่ใช่เป็นหนี้เพื่อบริโภค และเงินที่นำมาลงทุนเป็นจากการออมในประเทศ และการลงทุนที่สูงมีการกระจายการลงทุนนอกประเทศ ประมาณ 15% ของ GDP และสำคัญคือ จีนมีทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับหนึ่งของโลก เมื่อเงินมากก็ต้องเร่งลงทุนถึงแม้ว่าในอดีตการลงทุนบางจุดอาจจะไม่คุ้มค่า โดยเฉพราะในส่วนของรัฐวิสาหกิจ แต่จีนเองก็เริ่มให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการลงทุน ให้คุ้มค่ามากขึ้น
3. การสร้าง ทำให้กลุ่มประเทศมีรายได้ต่อคนต่อปีระดับปานกลางบน (ปัจจุบัน 8,100 USD) เป็นกลุ่มรายได้สูง (คาดในปี 2027 ที่ 12,500 USD) ทำยังไง?
- สิ่งที่เริ่มเห็นแล้วคือ จีนพยายามสร้างผู้ประกอบการที่สร้างสินค้าอุปโภคบริโภค แบบปกติ เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง จากเดิม ผลิตชา เส้นก๋วยเตี๋ยว เป็น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์
- การเพิ่มสินค้าภาคบริการมากขึ้น ด้วยการพัฒนาด้านเทคโนโลยี E-commerce รวมถึง App ต่างๆ ทำให้ภาคบริการของจีนโตต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้ภาคบริการจะเป็น 60% ของ GDP ในปี 2030 จากปัจจุบันอยู่ที่ 52%
- การสร้างธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มที่สูง มีบทบาทมากขึ้นและสามารแข่งขันกับกลุ่มประเทศพัฒนาแ้ล้วได้ เช่น อุปกรณ์สื่อสาร คอมพิวเตอร์ โรงไฟฟ้าพลังงาน nuclear รถไฟความเร็วสูง หรือแม้กระทั่งรถไฟฟ้า พี่จีนก็สามารถทำได้ดี จนสามารถสร้างจาก Local Brand เป็น Multi National Corporation อย่าง Alibaba, Sinopec , Huawei, Tencent เป็นต้น
4. มูลค่าหุ้นอยู่ในเกณฑ์ ถูก! จากความกังวล บวกกับการเติบโตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอทำให้บริษัทในจีนก็ชลอตาม กดดันทำให้ราคาหุ้นจีนปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ถูก แต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในปี 2017 ตามตาราง PE ที่ 9.8 เท่า แต่มีการเติบโต EPS ที่ 14% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช่ได้การเติบโตสูงกว่าค่า PE
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีมงาน Research บัวหลวงกลับมาให้น้ำหนักในการลงทุนหุ้นจีนอีกครั้งหลังจากถอดมานานตั้งแต่ปีกลางปี 2015 ที่ราคาขึ้นไป Peak ในบทวิเคราะห์กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ Asset Allocation ปีนี้จึงน่าจะเป็นปีที่โอเคสำหรับหุ้นจีน แต่อย่างไรการลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนดื่มวันละสองขวด เอ้ย...ก่อนการลงทุน! และสำหรับท่านที่ไม่รู้จะเลือกลงทุนกองทุนจีนกองไหน สามารถติดต่อสอบถามทีมงานบัวหลวง
อยากลงทุนหุ้นจีน...ทำไง?
ท่านไม่จำเป็นต้องขนเงินไปเปิดบัญชีที่เมืองจีนหรอกนะครับ เพราะบ้านเราก็มี และบัวหลวงก็มี ... โดยเราได้ลองหาข้อมูลกองทุนหุ้นจีน จาก 17 บริษัทจัดการที่เราเป็นตัวแทนอยู่ พบว่าถ้าคุณจะลงทุนในหุ้นจีนต้นตำหรับแท้ ๆ ต้องเป็นกองทุนของ บลจ.ทหารไทย กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index หรือ TMBCHEQ ที่จะเน้นลงทุนใน iShares FTSE A50 China Index ETF ซึ่งพยายามสร้างผลตอบแทนเลียนแบบดัชนี FTSE China A 50 Net Total Return Index ซึ่งเป็นดัชนีที่เป็นเสมือนตัวแทนของหุ้นทั้งประเทศจีนครับ (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ) โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้ หรือติดต่อมาที่ส่วนธุรกิจกองทุนรวมได้ครับ
เสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค
"การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน"