.png)
การส่งคำสั่งซื้อขายที่มีเจตนาทำให้ราคาหรือสภาพตลาดเปลี่ยนแปลงจากปกติ อาจถือเป็นการกระทำผิดตามกฎของตลาดหลักทรัพย์ และอาจถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ได้
6 พฤติกรรมการส่งคำสั่งที่ไม่เหมาะสม
1. การทำราคาเปิด-ปิด
ควบคุมราคาหลักทรัพย์ / index ในช่วงก่อนเปิด หรือก่อนปิดเวลาทำการ (ช่วง pre-open/pre-close)
พฤติกรรมที่ไม่ควรทำ
• ส่งคำสั่งซื้อ/ขายในช่วงก่อนเปิดหรือก่อนปิดตลาด เพื่อพยายามควบคุมราคาหุ้นหรือดัชนี
• ใส่คำสั่งซื้อหรือขายในราคาที่สูงหรือต่ำกว่าราคาตลาดล่าสุดมากเกินไป (เช่น เกิน 10 ช่องราคา หรือ 10%)
• ส่งคำสั่งเพื่อทำให้ราคาที่ระบบคาดว่าจะเปิดหรือปิด (projected price หรือ index) ผันผวนผิดปกติ
• ทำซ้ำหลายครั้งในระยะเวลาติดกัน
ตัวอย่าง
• ราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ 5.55 บาท และราคาคาดว่าจะปิดก็อยู่ที่ 5.55 บาท
• ผู้ส่งคำสั่งได้ส่งคำสั่งซื้อในปริมาณมากช่วงก่อนปิดตลาด (Pre-Close เวลา 16.35 น.)
• ราคาคำสั่งซื้ออยู่ที่ 5.90 บาท สูงกว่าราคาซื้อขายล่าสุดถึง 6.31% หรือ 7 ช่อง
• ทำให้ราคาคาดว่าจะปิดเปลี่ยนจาก 5.55 บาท เป็น 5.90 บาท
2. การจับคู่ซื้อขายกันเอง (Wash sale/ matched order)
อำพรางให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดในราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์
พฤติกรรมที่ไม่ควรทำ
• การส่งคำสั่งซื้อขายระหว่างคนกลุ่มเดียวกัน หรือบุคคลเดียวกัน อาจดูเหมือนมีการซื้อขายจริง แต่จริง ๆ แล้วแค่ทำธุรกรรมระหว่างกันเอง เพื่อทำให้ราคาดูเปลี่ยนแปลง
• การส่งคำสั่งซื้อขายในราคาและปริมาณที่สามารถจับคู่ซื้อขายกันเองได้ทั้งหมดหรือบางส่วน
ตัวอย่าง
• ราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ 5.60 บาท
• ผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมส่งคำสั่งเสนอขายที่ราคา 5.75 บาท จำนวน 20,000 หุ้น (เป็นราคา และจำนวนที่ต้องการจะขายจริง)
• ต่อมาส่งคำสั่งเสนอขายเพิ่มที่ราคา 5.65 บาท และ 5.70 บาท และซื้อที่ราคา 5.70 บาท
• มีการจับคู่ซื้อขายกับตนเองที่ราคา 5.70 บาท (สูงกว่าราคาก่อนหน้าที่ 5.60 บาท)
ผลกระทบ: ราคาดูเหมือนเพิ่มขึ้นเป็น 5.70 บาท และปริมาณซื้อขายสูงขึ้นผิดปกติ ทั้งที่เกิดจากการซื้อขายกันเอง ไม่ใช่ความต้องการจริงของตลาด
• นักลงทุนรายอื่นเห็นปริมาณการซื้อขายและราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น
• จึงตัดสินใจเข้าซื้อที่ราคา 5.75 บาท
• ผู้ที่ตั้งคำสั่งขายรอไว้สามารถขายหุ้น 20,000 หุ้นที่ราคา 5.75 บาทได้ตามคำสั่งที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้
3. การผลักดัน ชี้นำราคา
ส่งคำสั่งซื้อ หรือขายหลักทรัพย์ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดว่าราคาหลักทรัพย์ ณ ขณะใดขณะหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปมาก
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
• ส่งคำสั่งซื้อหรือขายหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง เพื่อพยายามดันราคาขึ้นหรือลง
• ทำให้ราคาผันผวนผิดปกติจากราคาซื้อขายล่าสุด (เช่น เกิน 10 ช่องราคา หรือ 10%)
ตัวอย่าง
• ราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ 5.50 บาท
• ผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมส่งคำสั่งเสนอขายที่ 5.90 บาท จำนวน 30,000 หุ้น
• ในขณะเดียวกันก็ส่งคำสั่งซื้อที่ 5.70 บาท จำนวน 35,000 หุ้น ที่รับซื้อทุกคำสั่งขายที่ราคา 5.70 บาท ได้ทั้งหมด
• ทำให้ราคาซื้อขายล่าสุด ขยับจาก 5.50 บาท เป็น 5.70 บาท ทันที (เพิ่มขึ้น 4 ช่อง)
ผลกระทบ: ทำให้ราคาดูสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เป็นการ "เคาะซื้อ" หลายคำสั่งในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นรายอื่นเข้าใจผิดว่าตลาดมีแรงซื้อจริง
• นักลงทุนรายอื่นส่งคำสั่งเสนอซื้อเข้ามาต่อเนื่องในช่วงราคาตั้งแต่ 5.55–5.70 บาท
• ราคาซื้อขายล่าสุดขยับขึ้นจาก 5.50 บาท เป็น 5.70 บาท อย่างรวดเร็ว
• จากนั้น ผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมคนเดิมได้ส่งคำสั่งซื้อที่ราคา 5.90 บาท ในจำนวนที่รับซื้อทุกคำสั่งขายที่ราคา 5.75-5.85 บาท ได้ทั้งหมด
• ทำให้ราคาซื้อขายล่าสุดขยับอีกครั้งจาก 5.70 เป็น 5.90 บาท (เพิ่มขึ้น 4 ช่อง)
ผลกระทบ: เมื่อนักลงทุนทั่วไปเห็นราคาปรับขึ้นต่อเนื่องในเวลาสั้น ๆ ก็เข้าใจผิดว่าหุ้นมีแรงซื้อจริง
จึงรีบเข้าซื้อที่ราคาใหม่ ช่วยให้ผู้ที่ตั้งคำสั่งขายไว้ล่วงหน้าในราคาสูง สามารถขายได้ในราคาที่ต้องการ
• ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
• นักลงทุนรายอื่นเข้าเสนอซื้อตาม และจับคู่กับคำสั่งขายของผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมที่ตั้งรอไว้ก่อนหน้าที่ราคา 5.90 บาท
4. การผลักดัน ชี้นำราคา
อำพรางให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดว่า ณ ขณะใดขณะหนึ่งมีความต้องการซื้อหรือขายมาก และ/หรือลวงบุคคลอื่นเพื่อซื้อหรือขายหลักทรัพย์
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
• กระทำหลายครั้ง โดยไม่มีความประสงค์จะซื้อขายหลักทรัพย์นั้นจริง
• กระทำหลายครั้ง โดยไม่มีความประสงค์จะซื้อขายหลักทรัพย์นั้นจริง
ตัวอย่าง
• ราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ 5.65 บาท
• ผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมส่งคำสั่งเสนอขายที่ 5.70 บาท จำนวน 10,000 หุ้น
• ในขณะเดียวกันก็ส่งคำสั่งซื้อที่ 5.65 บาท จำนวน 25,000 หุ้น ซึ่งมีปริมาณมากกว่าปริมาณคำสั่งซื้อขาย 5 ลำดับแรก
• ทำให้ราคาซื้อขายล่าสุด ขยับจาก 5.50 บาท เป็น 5.70 บาท ทันที (เพิ่มขึ้น 4 ช่อง)
ผลกระทบ: เมื่อนักลงทุนทั่วไปเห็นว่ามีความต้องการซื้อเข้ามาในจำนวนมาก ก็เข้าใจผิดว่าหุ้นมีแรงซื้อจริง จึงรีบเข้าซื้อที่ราคาใหม่ ผู้ส่งคำสั่งไม่เกมาะสมจึงถอนคำสั่งเสนอซื้อออก แล้วใส่คำสั่งเสนอซื้อรอใหม่ที่จำนวนเดิมและราคาเดิมเป็นคิวถัดไป เพราะไม่ได้ต้องการที่จะซื้อจริง
• นักลงทุนรายอื่นเข้าเสนอในราคาที่สูงขึ้นที่ 5.70 บาท และจับคู่กับคำสั่งขายของผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมที่ตั้งรอไว้ก่อนหน้าที่ราคา 5.70 บาท
5. การพยุงราคา เช่น แตกย่อยคำสั่ง
ควบคุมราคาหลักทรัพย์ไม่ให้เปลี่ยนแปลงต่ำลงหรือสูงขึ้น
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
• ส่งคำสั่งหลายคำสั่ง (เช่น ประมาณ 10 ครั้ง) ในลักษณะแตกย่อยปริมาณน้อยในระดับราคาเดียวกันในระยะเวลาอันใกล้ ทั้งที่สามารถส่งคำสั่งได้ในคราวเดียว
• ส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงต่ำลง หรือสูงขึ้น
ตัวอย่าง
• ผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมมี net buy position อยู่ที่ต้นทุน 5.55 บาท
• มีนักลงทุนเคาะขาย ทำให้ราคาไปอยู่ที่ 5.50 บาท
• ผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมจะเคาะพยุงราคา ให้ราคากลับไปที่ 5.55 บาท ในเวลาอันใกล้ไว้หลายครั้ง
6. การเสนอซื้อหรือเสนอขาย โดยระบุราคาที่ตามปกติแล้วไม่น่าจะเกิดการซื้อขายได้
ทำให้ราคาสูงหรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
• ส่งคำสั่งเสนอซื้อหรือเสนอขายในราคาที่สูง หรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก ซึ่งโดยปกติไม่น่าจะเกิดการจับคู่ซื้อขายได้ หรือที่ไม่ได้ประสงค์จะทำให้เกิดการซื้อขายตามราคานั้น
• ส่วนใหญ่พบในหลักทรัพย์ที่เข้าซื้อขายวันแรก หรือหลักทรัพย์ที่ไม่มี Ceiling and Floor
ตัวอย่าง
• ราคาที่คาดว่าจะเปิด/ปิดอยู่ที่ 5.55 บาท
• ผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมส่งคำสั่งเสนอซื้อที่ 5.55-5.75 บาท (ใน 5 ลำดับแรก)
• ทำให้ราคาที่คาดว่าจะเปิด/ปิด ขยับจาก 5.50 บาท เป็น 5.75 บาท
• จากนั้นส่งคำสั่งเสนอซื้อที่ 5.35 บาท
• เมื่อใกล้เปิดตลาด ผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมถอนคำสั่งเสนอซื้อที่ตั้งรอไว้ที่ 5.55-5.75 บาทออก
• ทำให้ราคาเปิดตลาด ปรับตัวลงมาที่ราคา 5.35 บาท
• จากนั้นส่งคำสั่งเสนอซื้อไว้ก่อนหน้าที่ 5.35 บาท ได้รับการจับคู่ซื้อขาย