.jpg)
By BLS Auto Investing
ทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงย่อมมีโอกาสเสมอ นักลงทุนหลายท่านคงรู้แล้ว ว่าไม่มีสิ่งใดขึ้นได้ตลอดการ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ใดๆก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านั้นต่างหาก จะเป็นจังหวะการลงทุนที่ดีเสมอ ซึ่งปี 2022 ถึงปี 2023 นับว่าเป็นปีที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศสหรัฐอเมริกา (Fed Funds Rate) อย่างรุนแรงต่อเนื่องกว่า 5% ในระยะเวลา 1 ปีกว่าที่ผ่านมา เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตลาดตราสารหนี้ และพันบัตรสหรัฐอเมริกา ต้องปรับตัวขึ้นตาม
ทั้งนี้ จึงทำให้เห็นวิกฤติทางการเงินของผู้ที่ถือครองพันบัตรจำนวนมาก เช่น ธนาคารพาณิชย์ ที่จะมีการขาดทุนจากตราสารหนี้ที่ถือครองไว้ทางบัญชี เนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์ในตลาดลดลงจากดอกเบี้ยในตลาดที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการขาดทุนทันทีหากต้องขายตราสารหนี้นั้น เช่น Silicon Valley Bank (SVB), Signature Bank, First Republic Bank และ Credit Suisse Bank ต้องล้มละลายทันที เมื่อมีลูกค้ามาถอนเงินพร้อมกัน (Bank Run)

ที่มา: Bloomberg
แต่อย่างไรก็ดี แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยที่เหลือในปี 2023 เริ่มส่งสัญญาณว่าจะขึ้นไปอีกไม่ได้มากนัก และจะมีการทรงตัวหรือปรับตัวลงในปีหน้าได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ (ดัชนี CPI) ได้ปรับลงมาสู่ 3% ในเดือน มิ.ย. 66 นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และชะลอลงจาก 4% ในเดือน พ.ค. 66 อีกทั้งยังเริ่มเข้าใกล้เป้าหมายที่ Fed ตั้งไว้ที่ 2%

ที่มา: Aspen วันที่ 28 ก.ค. 2023
และอีกสาเหตุจะสังเกตได้จากผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา (US. Treasury) อายุ 2 ปี 5 ปี และ 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ย (Yield) ต่ำกว่า ดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ซึ่งจะเห็นได้จากภาพปี 2018 ถึงปี 2019 ที่ผลตอบแทนของ พันธบัตรมีการปรับตัวลงก่อนดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งแสดงถึงมุมมองของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มองอนาคตว่าดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นต่อไม่ได้และจะมีโอกาสปรับตัวลงในอนาคต จึงส่งผลให้มีเงินลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อ ล็อคผลตอบแทนที่สูงไว้ก่อน แต่เมื่อความต้องการที่มากขึ้น ผู้ลงทุนก็จะยอมซื้อพันธบัตรในราคาที่สูงขึ้น แม้ว่าผลตอบแทนดอกเบี้ยจะลดลงก็ตาม แต่หากนักลงทุนเชื่อว่าในระยะยาวผลตอบแทนของดอกเบี้ยมีโอกาสลงได้มากกว่านี้ ก็จะทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ผู้ลงทุนได้ผลตอบแทนเพิ่มในส่วน ของมูลค่าส่วนต่างของราคาตราสารหนี้ หรือในภาษาหุ้นที่เราเข้าใจคือ Capital gain ซึ่งในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ที่การลงทุนตราสารหนี้แม้ได้ผลตอบแทนดอกเบี้ยที่ 5% แต่เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวลดลงแม้ 1% ก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนส่วนต่างของราคา พันธบัตร ได้ถึง +20%
มาถึงบางอ้อ ตอนนี้ ก็อยากจะบอกว่า การลงทุนในตราสารหนี้ยิ่งตัวระยะยาวยิ่งดี ในช่วงเวลาดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุด แบบนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ก็ควรจะต้องมีการปรับกลยุทธ์ เป็นการถือตราสารหนี้ระยะสั้นแทน ตัวระยะยาว เพื่อลดความผันผวนของราคา ซึ่งมุมมองตอนนั้น ก็อาจต้องมาพิจารณาจากภาพเศรษฐกิจ ตัวเลขสำคัญต่างๆ ที่บ่งชี้ ถึงแนวโน้มของเงินเฟ้อ และทำให้ดอกเบี้ยต้องปรับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
ดังนั้นการลงทุนที่ดี อาจไม่ได้พิจารณาแค่แนวทางการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่การเฝ้าติดตามและปรับแผนตามสภาพสภาวะการลงทุน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน
ทั้งนี้ หลักทรัพย์บัวหลวงจึงได้ออกแบบการลงทุนสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ในตลาดสหรัฐอเมริกา เพื่อหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในการลงทุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคต ด้วยกลยุทธ์ US Fixed Income ETF Portfolio (USFIXEDETF) ผ่านการบริหารพอร์ตการลงทุนต่างประเทศแบบอัตโนมัติโดยการกระจายการลงทุนใน ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ท่านสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนหรือ BLS Customer Service
โทรศัพท์ 0-2618-1111 หรือ Email : [email protected]