TeslaBYD
TeslaBYD

ส่องศึกรถ EV รับเทรนด์พลังงานสะอาด

ส่องศึกรถ EV รับเทรนด์พลังงานสะอาด
byd vs tesla9.jpg

โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเข้าสู่ยุคของพลังงานสะอาด ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างมุ่งสู่การให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการปล่อยมลพิษ ลดต้นทุนด้านพลังงาน และปรับให้ธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ร่วมกับพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

วันนี้ทีม
BLS Global Investing จะพาไปดูตัวแทนแห่งอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อย่างรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และหลาย ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้ง 2 ซีกโลก อย่าง จีน และ สหรัฐฯ ก็ตัดสินใจลงทุนมหาศาล ทำให้อาจมองได้ว่า การทำธุรกิจเกี่ยวกับ EV นั้น มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นอย่างไร ตามไปดูกันเลยค่ะ...



ทำไมต้องรถยนต์ไฟฟ้า EV ?

การขนส่ง นับเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิตสมัยใหม่ รถยนต์เบนซินหรือดีเซลแบบก่อน ก็ทำให้เกิดมลพิษสูง จึงทำให้กำลังถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า เพราะไม่มีการปล่อยท่อไอเสีย ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุนด้านเชื้อเพลิง เพราะการชาร์จไฟฟ้าของรถยนต์ไฟฟ้า มีราคาถูกกว่าการเติมน้ำมัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในตลาด


เจ้าตลาด รถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ “BYD” และ “Tesla"

byd tesla.png

BYD Co. Ltd.  (1211.HK)

bydc.png

https://en.byd.com/

หลายปีที่ผ่านมานี้ ธุรกิจส่วนใหญ่ของ BYD มุ่งเน้นไปที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เช่น รถประจำทาง และตั้งแต่เดือนมี.ค. ปี 64  BYD ได้หยุดการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน โดยมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และไฮบริดแทน บริษัทได้กลายเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนอย่างรวดเร็ว มีมูลค่าบริษัทรวมอยู่ที่ 3.6 ล้านล้านบาท
ล่าสุด...ตัวเลขในไตรมาส 2 ปี 65 ของ BYD มีรายได้อยู่ที่ 46.7 หมื่นล้านบาท โต 68% เมื่อเทียบเป็นรายปี มีกำไร 6.7 หมื่นล้านบาท โต 85% เมื่อเทียบเป็นรายปี และมียอดจำหน่ายรถอยู่ที่ 3.54 แสนคัน แซงหน้า Tesla! แสดงถึงการเติบโตของยอดขายถึง 266% หรือเกือบ 3 เท่า เมื่อเทียบเป็นรายปี

BYD กำลังวางแผนที่จะเปิดโรงงานรถยนต์ส่วนบุคคลที่ลงทุนทั้งหมดนอกประเทศจีน รวมถึงในประเทศไทย ที่ BYD ที่ได้ประกาศเมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ว่า บริษัทได้เข้าสู่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว โดย ได้ลงนามเพื่อซื้อที่ดิน และสร้างโรงงานสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ที่ประกอบด้วยแบตเตอรี่บริสุทธิ์ และพลังงานไฮบริด โดยบริษัทกล่าวว่าโรงงานแห่งใหม่มีกำหนดจะเริ่มดำเนินการในปี 67 เพื่อสร้างรถยนต์สำหรับตลาดในประเทศและเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงยุโรปด้วย อีกทั้งบริษัทยังได้วางแผนที่จะเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota ในปี 66

รู้หรือไม่...ปัจจุบันนี้ มูลค่าบริษัทของ BYD เติบโตเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก Tesla ซึ่งเป็นอันดับ 1 และ Toyota อันดับ 2 อีกทั้งต้นทุนแบตเตอรี่ที่ BYD ใช้ในรถยนต์นั้น ยังมีต้นทุนต่ำกว่า Tesla และ CATL ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่อันดับ 1 ของจีนอีกด้วย



Tesla Inc. (TSLA.US)

2022-tesla-model-3-mmp-1-1640025520.jpghttps://www.caranddriver.com/tesla/model-3

Tesla ก่อตั้งขึ้นในปี 46 มีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์ยานยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ณ เดือนมิถุนายน ปี 65 มูลค่าอยู่ที่ 35.1 ล้านล้านบาท 

เรียกได้ว่ากระแสความตื่นเต้นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั้นเริ่มต้นเป็นที่สนใจมาจากรูปแบบธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ ของ Tesla เลยก็ว่าได้
Elon Musk ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Tesla เปิดตัวบริษัทด้วยพันธกิจ to accelerate the advent of sustainable transport by bringing compelling mass-market electric cars to market as soon as possible.” ที่ต้องการจะทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นตลาดมวลชนให้ได้รวดเร็วที่สุด

ล่าสุด...ตัวเลขในไตรมาส 2 ปี 65 ของ Tesla มีรายได้อยู่ที่ 62.9 หมื่นล้านบาท โต42% เมื่อเทียบเป็นรายปี มีกำไร 15.6 หมื่นล้านบาท โต 47% เมื่อเทียบเป็นรายปี และมียอดจำหน่ายรถอยู่ที่ราว 2.55 แสนคัน แสดงถึงการเติบโตของยอดขาย 27% เมื่อเทียบเป็นรายปี อีกทั้งบริษัทยังได้มีแผนจะขยายกำลังการผลิตให้เร็วที่สุด โดยวางเป้าการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเฉลี่ยไว้ที่ 50% ต่อปี


เมื่อดูจากจำนวนการส่งมอบ และการจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า พบว่า BYD กำลังจะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของ Tesla! โดยจากรายงานยอดขาย และยอดการผลิตในเดือนสิงหาคมปี 65 BYD ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ถึง 175,418 คัน ใน 1 เดือน เพิ่มขึ้นประมาณ 185% จากเดือนเดียวกันในปี 64 ในขณะที่ Tesla ผลิตรถยนต์ได้ประมาณ 77,000 คันในเดือนสิงหาคม นี่จึงทำให้ Tesla อาจจะต้องเร่งเครื่อง ทำการปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิตเพื่อให้ทันกับคู่แข่งสำคัญจากจีนอย่าง BYD 


ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า นอกเหนือจาก ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla และ BYD แล้ว ยังมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากผลิตส่วนประกอบหลักและสำคัญในการผลิตรถยนต์ EV ทำหน้าที่เป็นจุดเก็บกักพลังงานให้รถยนต์ไฟฟ้า ให้รถยนต์สามารถวิ่งได้อย่าง แร่ลิเทียม และ แบตเตอรี่ จะมีตัวไหนน่าสนใจบ้างตามไปดูกันค่ะ...



ผู้ผลิตแร่ลิเทียม

1. Tianqi Lithium (9696.HK)
บริษัทในจีนที่ดำเนินธุรกิจด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลิเทียม ซึ่งเป็นวัสดุหลักที่ใช้ในแบตเตอรี่ ล่าสุดเมื่อ เดือน ก.ค. 65 ที่ผ่านมา Tianqi Lithium ระดมทุนถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการเสนอขายหุ้น IPO ที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกงในปี 65

2. 
Lithium Americas (LAC.US)

บริษัทที่มุ่งเน้นที่การพัฒนาโครงการลิเธียมในอาร์เจนตินา และสหรัฐอเมริกา และกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการเหมืองแร่ลิเทียม 3 แห่ง ได้แก่ Thacker Pass Cauchari-Olaroz และ Pastos Grandes ในอาร์เจนติน่า โดยบริษัทมีมูลค่าตลาดราว 1.4 แสนล้านบาท และกำลังดำเนินการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ในอนาคต



ผู้ผลิตแบตเตอรี่

1. Contemporary Amperex Technology (300750.CN)
หนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ที่ 35% เชี่ยวชาญด้านการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เป็น Supplier ให้กับบริษัทรถยนต์ระดับโลก เช่น Tesla และ Ford อีกทั้งบริษัทกำลังประเมินการที่จะขยายผลิตภัณฑ์นแบตเตอรี่ไปยังยุโรปอีกด้วย

2. 
Quantumscape (QS.US)
บริษัทในสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนแบตเตอรี่ลิเธียมเมทัลและชิ้นส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กับรถยนต์ มีมูลค่าตลาดราว 1.8 แสนล้านบาท โดยการพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-State ของ QuantumScape ถือได้ว่าเป็นผู้พลิกเกมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เนื่องจากสามารถใช้งานได้ยาวนาขึ้น และใช้เวลาในการชาร์จที่สั้นลง บริษัทจึงได้รับความสนใจอย่างมากจากบริษัทรถยนต์ EV  


BLS Tips: BYD จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น 2 แห่งในรูปแบบของ H-share และ A-share คือ 1) ตลาดหุ้นฮ่องกง (1211.HK) และสามารถลงทุนตรงได้ ผ่านระบบ Global Invest 2) ตลาดหุ้นเซินเจิ้นของจีน (002594.CN) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของดัชนี CSI 300 ด้วยน้ำหนักราว 1.3% โดยนักลงทุนสามารถกระจายลงทุนในดัชนี CSI 300 สะดวกด้วย DR CN01 ผ่านตลาดหุ้นไทย ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น ChinaAMC CSI 300 ETF (3188.HK)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DR CN01 ได้ที่ http://bls.tips/CN01CNTECH01


📌 โอนเงินในวันอังคาร หรือพุธเวลาใดก็ได้ TRANSFREE ฟรี! ค่าธรรมเนียมการโอนเงินไปต่างประเทศ สูงสุดถึง 3,000 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://bls.tips/globalinvesttransfer


ติดตามข่าวสารการลงทุนต่างประเทศได้ก่อนใคร กับรายงานหุ้นต่างประเทศ ที่มีชื่อว่า “Global Commentary” ผ่านเว็บไซต์หลักทรัพย์บัวหลวง หรือแอปพลิเคชัน Streaming สะดวกสบาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถอ่านได้ 😮

คลิก https://bls.tips/globalcommentary 🌟


ที่มา: BLS Global Investing, Bloomberg, Investopedia , cnbc-tesla  , cnbc-byd , cnbc-calt statista , reuters , lithiumamericas
เรียบเรียงโดย:
ศิวพรรณ ประดิษฐ์กุล Supervisor: Global Investing Solutions, บมจ. หลักทรัพย์บัวหลวง
ภัทริกา สุทนุจินดา Product Specialist: Global Investing Solutions, บมจ. หลักทรัพย์บัวหลวง
ข้อมูล ณ วันที่ 23 ก.ย. 65


















 

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง