
หนังตลกร้ายที่บอกไว้ว่า “Based on Truly Possible Event” สะท้อนความเป็นมนุษย์ได้ดีทีเดียวสำหรับ Don't Look Up จากค่าย Netflix นำแสดงโดย Leonardo DiCaprio และ Jennifer Lawrence ผ่านพล๊อตเรื่องของ 2 นักดาราศาสตร์ ดร.มินดี้ และเคท ที่พยายามเตือนให้ทุกคนรู้ว่า โลกใบนี้กำลังจะโดนดาวหางขนาดใหญ่พุ่งชนโลกในอีก 6 เดือน 14 วัน แต่ทว่าคำเตือนของเค้าไม่ได้รับการตอบสนองตามสไตล์หนังกู้โลกอย่างที่ชาวเราเคยเห็นๆ กัน ซึ่งแอบมีแซวตลาดหุ้นเล็กๆ ผมเลยเอามาสรุปให้กับนักลงทุนอ่านเล่นๆ กันในช่วงวันหยุดปีใหม่ (คำเตือน : มีสปอยล์นะ!!)
"Start" จุดเริ่มเรื่องไม่ได้มีอะไรมาเหมือนเป็นหนังสะท้อนความจริงของสังคมปัจจุบันในแบบขำๆ หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น ความเห็นแก่ตัว การเมือง ระบบทุนนิยม การรับมือการเหตุการณ์ของแต่ละคน ที่คิดว่าจะดูหนังแบบไม่คาดหวัง แต่สนุกอยากพูดถึงในประเด็นที่ต่างออกไปคือตลาดทุนที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ
"Priority" แม้ในสภาวะวิกฤติถึงขั้นดับสลายของโลก (แอบคล้ายๆ สถานการณ์โควิด) แต่ละคนต่างก็ไม่ได้มีการจัดอันดับความสำคัญว่าเรื่องอะไรควรจะจัดการก่อนหรือหลัง ผู้คนก็ยังคงเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นประธานธิบดีสุดฉาวที่มัวแต่ห่วงคะแนนเสียงของตัวเอง พิธีกรรายการที่สัมภาษณ์เรื่องนี้อย่างสนุกสนานเพราะต้องการรักษาคอนเซปท์รายการให้สนุก เซเลปบริตี้คนดังที่สนใจที่จะพูดถึงแต่ประเด็นข่าวของตัวเอง และผู้คนทั่วไปที่อยากจะฟังข่าวคราวการเลิกลากันของคนดังมากกว่าเรื่องดาราศาสตร์กับความจริงที่ว่าโลกกำลังจะถูกทำลาย อีกมุมที่หนังได้สะท้อนคือระบบทุนนิยม ที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง BASH ดูเหมือนจะเป็นตัวร้ายที่อยู่เบื้องหลัง (แต่ผมว่าไม่ได้ร้ายมากนะ) และมีอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีเสียอีก
"Social Movement" พลังในการขับเคลื่อนสังคมที่สุดท้ายกลับตกเป็นเครื่องมือของการเมือง มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย Don’t Look Up หรือกลุ่มไม่เชื่อว่าดาวหางจะพุ่งชนโลก กับ Just Look Up หรือกลุ่มเชื่อว่าดาวหางจะพุ่งชนโลก หรือแม้กระทั่งกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องให้เกิดสันติภาพและเป็นกลางจากทั้ง 2 กลุ่ม (มันคล้ายๆ กับสถานการณ์พวกเราอีกแล้ว!!)
"Fear" ความกลัว อีกประเด็นที่เราอยากพูดถึงที่สุดคือระบบตลาดหุ้น ที่หนังเรื่องนี้นำเสนอได้อย่างตรงประเด็นและเป็นความจริงที่สามารถเห็นกันได้ในตลาดหุ้นทุกวันนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ตลาดหุ้นมักจะมีการ react ต่อเหตุการณ์นั้นๆ และทำให้ตลาดเกิดความผันผวนอย่างหนัก และมีข่าวมากมายที่ทำให้พวกเราสับสน
"Greed" ความโลภแต่เหมือนตลกร้าย ตลาดหุ้นกลับปรับตัวขึ้นหลังจากข่าวดาวหางพุ่งชนโลกเพราะนักลงทุนมองว่าเป็นโอกาสในการได้แร่ธาตุ Rare Earth ที่มีมูลค่ามหาสารจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หุ้นบริษัท BASH สร้างกำไรมหาศาล กลับกันเมื่อเวลาผ่านไปตลาดหุ้นกลับร่วงหนักเพราะนักลงทุนเริ่มเกิดความกลัวและไม่มั่นใจในสถานะการณ์ ซึ่งนี้ก็คือความเป็นจริงในตลาดการเงิน การลงทุนที่มีทั้ง Fear and Greed ซึ่งผลจากอารมณ์กลัวและโลภนี้แหละคืออีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดเกิดการผันผวนอย่างหนัก ...ซึ่งนักลงทุนที่ดีควรมีสติ เพราะอย่าลืมพื้นฐาน (Fundamental) โลกเรากำลังจะโดนทำลาย อย่าลืมเก็งกำไรกันจนไม่กำหนด Stop Loss!!
“Opportunity” ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ถ้าแผนการทำลายดาวหางประสบความสำเร็จ ได้ Rare Earth มาจริงๆ แต่มันทำไม่ได้นะสิ เพราะมันไม่ใช่หนังฮีโร่ อย่าง Armageddon ที่โลกปลอดภัย ซึ่งหากจะเทียบกับเหตุการณ์จริงในปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์โควิด ที่กลายพันธุ์แล้วกลายพันธุ์เล้า จะเห็นว่าตลาดได้มีการ react กับวิกฤตครั้งนี้อย่างรุนแรง และเกิดความสูญเสียกับโลกเราจำนวนมากจนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งเศรษฐกิจและสังคม แต่จะเห็นได้ว่าการ panic sell ตั้งแต่ในช่วงปี 2019 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างรวดเร็วจนเกิด circuit brake ในหลายๆตลาดหุ้นทั่วโลก เชื่อมั้ยในปัจจุบัน Dow Jones กลับไต่ระดับสูงสุด New High ซะงั้น ...ต้องขอบคุณ เเพทย์ พยาบาล และบุคลากรด่านหน้า ที่ต้องทำงานหนักในการแก้ไขสถานการณ์การกู้โลกจนผ่านพ้นวิกฤตของพวกเราด้วยนะครับ
“Believer” และสุดท้ายเราจะเห็นได้ว่าแต่ละคนมีการรับมือกับเหตุการณ์เดียวกันที่ต่างออกไป บางคนเลือกที่จะสู้อย่างบ้าคลั่ง บางคนเลือกที่จะหนี บางคนยอมรับอย่างโดยดี บางคนเลือกที่จะโนสนโนแคร์ บางคนเลือกที่จะเชื่อในศาสนา หรือบางคนเลือกที่จะเชื่อในเทคโนโลยี และการเกิดขึ้นของโลกใหม่ จนไปถึงแผนสุดท้าย คือ หนีไปจากโลกด้วยยานของ SpaceX ไม่ใช่ๆ ในหนังมันยานของ Bash ที่เต็มไปด้วยเศรษฐีสูงอายุ!!
แล้วนักลงทุนอย่างพวกเราล่ะ ถ้าเหลือเวลาบนโลกอีก 6 เดือน 14 วัน คุณจะทำยังไง ?? ส่วนผมขอฟังเพลงเพราะๆ ตอนจบหนังรอสบายๆ “Bon Iver - Second Nature” นั่งหาอยู่ตั้งนาน!!
https://youtu.be/YrVxcQp0SR0
Stock Unbox by Sinthanun
ที่มา: https://www.netflix.com/th-en/title/81252357