
“มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้วและส่วนเกินมูลค่าหุ้น” คืออะไร
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับงบดุล (Balance Sheet) หรืองบแสดงฐานะทางการเงินกันก่อน งบนี้มีเพื่อไว้แสดงความสัมพันธ์ของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อประเมินสถานะทางการเงินของบริษัทโดย “มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้วและส่วนเกินมูลค่าหุ้น” จะปรากฏของในส่วนของผู้ถือหุ้น....
ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ส่วนของเจ้าของ (Total Equity)
คือ มูลค่าในส่วนของเจ้าของบริษัท โดยคำนวณจากสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทหักด้วยหนี้สิน ซึ่งเรียกว่าสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน นอกจากนี้ส่วนของผู้ถือหุ้นยังแสดงถึงความเป็นเจ้าของบริษัทตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออีกด้วย
✅ รู้จัก ROE คืออะไร และวัดผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นได้อย่างไร คลิก
ในส่วนของผู้ถือหุ้นจะปรากฏตัวเลขมากมายหลายรายการ วันนี้หลักทรัพย์บัวหลวงจะกล่าวถึง 3 ส่วนดังนี้
-
ทุนจดทะเบียน (Authorized Share Capital)
-
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว (Paid-up Capital)
-
ส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Paid-in Capital)
ทุนจดทะเบียน (Authorized Share Capital)
คือ มูลค่าทุนตั้งต้นตอนจดทะเบียนบริษัท หรือมูลค่าที่ตราไว้กับหุ้น (Par Value) โดยแสดงชนิดของหุ้น จำนวนหุ้นที่บริษัทออกขาย โดยชนิดของหุ้นจะแบ่งเป็น
-
หุ้นสามัญ (Common Stock)
-
หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock)
ทุนจดทะเบียนเปรียบเสมือนมูลค่าที่บริษัทควาดหวังไว้และวัดความยิ่งใหญ่ของบริษัท ซึ่งไม่ต้องใช้เงินจริงในการจดทะเบียนบริษัทตามมูลค่าทุนจดทะเบียน แต่มูลค่าบริษัทที่เกิดขึ้นจริงจะปรากฏใน มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว...
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว หรือ ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว (Paid-up Capital)
คือ จำนวนเงินที่บริษัทได้รับจากการขายหุ้นครั้งแรกในตลาด (IPO) ซึ่งจะไม่มีการสร้างมูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้วเพิ่มเติมอีกเพราะเงินที่ได้จากการซื้อขายหุ้นครั้งต่อไปจะตกอยู่กับนักลงทุนในตลาด
-
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว จะปรากฎในส่วนของผู้ถือหุ้น (Total Equity) ของงบดุล (Balance Sheet)
-
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว สามารถเปรียบเทียบได้กับระดับหนี้ของบริษัทเพื่อประเมินความสมดุลด้านการเงินของบริษัท โดยพิจารณาจากการดำเนินงาน รูปแบบธุรกิจ และมาตรฐานอุตสาหกรรมที่เป็นอยู่
กฎเกณฑ์ของมูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว
มูลค่าที่นักลงทุนต้องจ่ายตอนบริษัทขายหุ้นครั้งแรกในตลาด (IPO) จะจ่ายครบตามทุนจดทะเบียนหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องจ่ายค่าหุ้นในราคาไม่ต่ำกว่า 25% ของมูลค่าที่ตราไว้กับหุ้น (Par Value) และจะถูกบันทึกในบัญชี มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว (Paid-up Capital) ทั้งหมด
วิธีการวิเคราะห์
-
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว เพิ่มขึ้น หมายความว่า บริษัทเพิ่มทุนด้วยการเพิ่มจำนวนหุ้นที่ขายในตลาด เกิดจากบริษัทไม่สามารถทำกำไรจากการดำเนินงาน แสดงได้ว่าบริษัทไม่มีการเติบโตด้วยตนเอง
-
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ลดลง หมายความว่า บริษัทมีการซื้อคืนหุ้นกลับจากตลาด และนำหุ้นที่ซื้อคืนมาไปลดในส่วนมูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว หากบริษัทมีการซื้อหุ้นคืนมาในราคาที่เหมาะสมจะทำให้เป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้นเดิม
Tips : ยิ่ง มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ลดลงเท่าไหร่ ยิ่งดี เพราะบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน จึงมีการซื้อคืนหุ้นในตลาดกลับมา
> เกิดเครื่องหมาย XR (Excluding Right) : ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิจองซื้อหุ้นออกใหม่ จะมีเครื่องหมายนี้อยู่หลังชื่อหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
> ในตลาดหลักทรัพย์มีการกรองหุ้นที่มีการมูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว เต็มมูลค่าที่จดทะเบียนแล้วมาให้นักลงทุนซื้อขายกันในตลาด
ส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Paid-in Capital)
คือ มูลค่าที่เกิดจากราคาที่บริษัทขายหุ้นครั้งแรกในตลาด (ราคา IPO) ได้เกินมูลค่าที่ตราไว้กับหุ้น (Par Value) โดยมูลค่าในส่วนนี้จะไม่ได้เกิดจากการดำเนินธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น แต่สามารถเกิดจากบริษัทมีการเพิ่มทุนด้วยการเพิ่มจำนวนหุ้นที่ขายในตลาดแล้วตั้งราคาสูงกว่ามูลค่าที่ตราไว้กับหุ้น (Par Value)
การคำนวณ
-
ส่วนเกินมูลค่าหุ้น จะปรากฎในส่วนของผู้ถือหุ้น (Total Equity) ของงบดุล (Balance Sheet)
-
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามารถเป็นทุนของบริษัทก่อนที่กำไรสะสมจะเริ่มสะสมจากผลกำไรหลายปี และสามารถช่วยชดเชยความสูญเสียทางธุรกิจได้
วิธีการวิเคราะห์
-
ส่วนเกินมูลค่าหุ้น > 0 หมายความว่า บริษัทสามารถขายหุ้นในครั้งแรก (IPO) หรือเพิ่มทุนได้สูงกว่ามูลค่าที่ตราไว้กับหุ้น (Par Value) ทำให้บริษัทมีเงินสำรองก่อนที่จะมีกำไรสะสม
-
ส่วนเกินมูลค่าหุ้น < 0 หมายความว่า บริษัทสามารถขายหุ้นในครั้งแรก (IPO) หรือเพิ่มทุนได้ต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้กับหุ้น (Par Value) ทำให้บริษัทไม่มีเงินสำรองก่อนที่จะมีกำไรสะสม
Tips : หากบริษัทไม่มีการเพิ่มทุนหรือซื้อหุ้นคืนจากตลาด ส่วนเกินมูลค่าหุ้น มูลค่าที่ตราไว้กับหุ้น และทุนจดทะเบียน จะไม่เปลี่ยนแปลงถึงแม้บริษัทจะมีการดำเนินธุรกิจที่สร้างผลกำไรสะสมหรือขาดทุนก็ตาม
ตัวอย่างการวิเคราะห์
เรามาดูลองการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กันเถอะ...
-
ในปี 2020 บริษัทมีการเพิ่มทุนด้วยการเพิ่มจำนวนหุ้นที่ขายในตลาด อาจเกิดจากบริษัทไม่สามารถทำกำไรจากการดำเนินงาน ทำให้มูลค่าที่ตราไว้กับหุ้น (Par Value) มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว (Paid-up Capital) และส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Paid-in Capital) มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ส่งผลเสียต่อบัญชีส่วนของผู้ถือหุ้น (Total Equity) และทำให้งบดุล (Balance Sheet) เปลี่ยนแปลง
...แต่อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทที่ต้องการลงทุนผ่านงบบัญชีเพียงงบเดียวก็ไม่ได้บ่งบอกว่าบริษัทนั้นดีหรือไม่ และไม่สามารถประเมินภาพรวมของบริษัทได้ ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหลากหลายด้าน เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ
แล้วเราสามารถดูค่า Paid-in Capital และ Paid-up Capital ได้จากที่ไหน ?
วิธีที่ 1 เข้าใช้งานผ่านโปรแกรม TradeMaster
-
Login เข้าโปรแกรม Trade Masterให้คลิกไปที่ Market Info เลือกฟังก์ชัน Fundamental
-
คลิกไปที่ Fin Chart
-
พิมพ์ชื่อหุ้นที่นักลงทุนสนใจ
-
คลิกไปที่ Balance Sheet
-
สามารถดูค่า Paid-in Capital ของหุ้นตัวที่เลือกได้ด้านล่าง ดังนี้
วิธีที่ 2 เข้าใช้งานผ่านโปรแกรม Stock Signals บนหน้า เว็บไซต์หลักทรัพย์บัวหลวง
-
Login เข้าใช้งาน เว็บไซต์หลักทรัพย์บัวหลวง
-
เลือกเมนู Stock Signals
-
เลือกฟังก์ชัน Summary
-
เพิ่มชื่อหุ้นที่สนใน Symbol
-
Paid-up Capital > Paid-in Capital
สแกนหา Paid-in Capital ได้อย่างไร ?
เด็ดยิ่งกว่า!!! ลูกค้าหลักทรัพย์บัวหลวงสามารถสแกนหาหุ้นอัตโนมัติด้วย Strategy Builder จากการสร้างเงื่อนไขที่คุณสนใจง่ายๆผ่านโปรแกรม Trade Master ดังนี้...
-
สร้างเงื่อนไขด้วยเมูด้านซ้ายมือ และเลือกตั้งค่าเงื่อนไข (condition)
-
เมื่อสร้างกลยุทธ์ (Strategy) ของเราเรียบร้อยแล้ว หน้าจอจะปรากฎหุ้นที่เข้าเงื่อนไขจากหน้า Results
📌 เปิดบัญชีหุ้นออนไลน์กับหลักทรัพย์บัวหลวง สะดวก ง่าย ไม่ต้องส่งเอกสาร คลิก 👇
หรือศึกษาวิธีการเปิดบัญชีบนหน้าเว็บไซต์เพิ่มเติม คลิก
ผู้ลงทุนจะต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน…สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บมจ. หลักทรัพย์บัวหลวง โทร. 0-2618-1111