
เล่นหุ้นตัวไหนดี? หุ้นตัวนี้ดีมั้ย? อุตสาหกรรมนี้ดีหรือเปล่า? ต้องถือนานแค่ไหน? มักเป็นคำถามเริ่มต้นของนักลงทุนหน้าใหม่ แต่ก่อนอื่นเราควรดูก่อนว่าลักษณะนิสัยของเราเหมาะกับการลงทุนสไตล์ไหน และเมื่อค้นหาสไตล์การลงทุนของตัวเองได้แล้ว ลำดับถัดมาถึงจะเลือกหุ้นที่จะลงทุน
สไตล์การลงทุนในหุ้นแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
การลงทุนสไตล์ VI หรือ Value Investor
การซื้อหุ้นเปรียบเสมือนเราซื้อสัดส่วนความเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นๆ ดังนั้นนักลงทุน VI จะเลือกซื้อเฉพาะธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดี มีความมั่นคง เน้นผลตอบแทนในระยะยาว (ถือหุ้นไปเรื่อยๆ ถ้าธุรกิจยังดีอยู่) ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของตลาดในระยะสั้น และจะขายหุ้นทิ้งเมื่อปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนไปในทางลบ (ซื้อหุ้น แล้วติดดอย ทำให้ต้องถือยาว ไม่เรียกนักลงทุน VI นะคะ)
เรามาดูกันว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีหลักการในการเลือกซื้อหุ้นอย่างไร
- เข้าใจในธุรกิจ
- มีประวัติการดำเนินงานที่ดีเป็นระยะเวลายาวนาน
- ดำเนินธุรกิจโดยผู้บริหารที่มีความสามารถและมีความซื่อสัตย์สุจริต
- ราคาหุ้นน่าสนใจ (ราคาหุ้นต้องไม่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง)
แต่ !! ก่อนการตัดสินใจขายหุ้น เราต้องพิจารณาให้ดีว่าปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนไปนั้น ส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจแค่ชั่วคราว หรือถาวร ซึ่งถ้าเป็นผลกระทบแค่ชั่วคราว และราคาหุ้นถูกกดดันให้ต่ำลง เราก็ไม่ควรขายหุ้นทิ้ง แต่ให้มองถึงโอกาสในการซื้อหุ้นเพิ่ม
การลงทุนสไตล์ MI หรือ Momentum Investor
เน้นรอบการซื้อขายตามเทรนขาขึ้นของตลาด สามารถสลับไปมาระหว่างหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆได้ โดยใช้ข้อมูลทางเศรษฐกิจเป็นการวิเคราะห์แบบพื้นฐาน รวมถึงนำปัจจัยทางเทคนิคมาประกอบการพิจารณา
หลักการเลือกหุ้นสไตล์ MI มีดังนี้
- มองภาพใหญ่ หรือมองที่เศรษฐกิจระดับมหภาค
- ค้นหาอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในช่วงเวลานั้น
- ค้นหาหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้เลือกไว้
- วิเคราะห์งบการเงินของบริษัท
เช่น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นหุ้นที่โดดเด่นก็จะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน เมื่อเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะลงทุนได้แล้ว นักลงทุน MI ก็จะดูผลประกอบการของแต่ละบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆ ถ้าผลประกอบการดีก็จะเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ แต่ในกรณีผิดทาง นักลงทุน MI ก็ควรมีจุด Stop Loss เมื่อตลาดไม่เป็นไปตามคาดเพื่อป้องกันการติดดอย
การลงทุนสไตล์ Yield Investor
เน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ อัตราเงินปันผลสูงและจ่ายสม่ำเสมอ โดยผลตอบแทนที่ได้ไม่เน้นที่การซื้อขาย แต่เน้นที่เงินปันผลเป็นสำคัญ
- ผลตอบแทนเงินปันผลสูงและจ่ายสม่ำเสมอ
- ลงทุนใน Defensive Stock หรือ หุ้นหลบภัย เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค สินค้าอุปโภค บริโภค เป็นต้น เนื่องจากเป็นสินค้า/บริการที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
การลงทุนสไตล์ Speculate Investor
เน้นการเก็งกำไรระยะสั้นโดยไม่สนว่าปัจจัยพื้นฐานจะเป็นอย่างไร นักลงทุนประเภทนี้มักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการดูแนวโน้มของราคา รวมถึงการเก็งกำไรจากเหตุการณ์ต่างๆ โดยกำไรจะมาจาก Capital gain หรือผลกำไรส่วนต่างจากราคาหลักทรัพย์