
“การลงทุนในหุ้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำ และขายหุ้นในราคาที่สูง”
หลายคนอาจเคยได้ยินประโยคนี้ แต่ในสภาวะที่ตลาดทั่วโลกมีความผันผวน รวมถึงประเทศไทย หุ้นขึ้นๆลงๆแบบนี้ ยากที่จะได้กำไรจากการลงทุน แต่จะทำอย่างไรให้เราสามารถลงทุนได้โดยคลายความกังวล หรือช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้
เทคนิคอย่างหนึ่ง คือ การกำหนดกรอบราคาในการลงทุน ซึ่งนักลงทุนหลายคนก็ใช้เทคนิคนี้ แต่บางคนอาจต้องเฝ้าหน้าจอ เพื่อดูราคาหุ้นอยู่ตลอดเวลา
วันนี้เรามีกลยุทธ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ นั่นก็คือ “กลยุทธ์ Equity Spread” ซึ่งเป็นการทำกำไรจากส่วนต่างราคา โดย “คุณหมอ ดลนภัตถ์ เย็นชัยสิทธิ์” ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน หลักทรัพย์บัวหลวง จะมาช่วยไขข้อสงสัยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์นี้…
Q : Equity Spread มีหลักการลงทุนอย่างไร ?
A : เป็นการทยอยซื้อทยอยขายหุ้นตามกรอบราคาในหุ้นตัวเดียว เพื่อทำกำไร หรือ เพื่อบริหารความเสี่ยงจากหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ต โดยใช้เงินตามกรอบราคา คือ ถ้าราคาหุ้นลงก็จะทยอยใช้เงินซื้อหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ กลับกันถ้าราคาหุ้นขึ้น ก็จะทยอยขายออก และระบบจะส่งคำสั่งตั้งแต่ตลาดเปิด ประมาณ 10 โมง เป็นลักษณะตั้งรอหลายๆคำสั่ง และเป็นพีระมิด คือ ในกรณีซื้อจะตั้งซื้อด้วยปริมาณมากขึ้นที่ราคาต่ำ และในกรณีขายจะตั้งขายปริมาณมากขึ้นที่ราคาสูง
Q : หลักในการกำหนดกรอบราคา และใครกำหนดได้บ้าง ?
A : การกำหนดกรอบราคามักจะพิจารณาจากหลายส่วน เช่น ราคาเป้าหมายตามบทวิเคราะห์ กรอบการเคลื่อนไหวในอดีต กรอบ P/E และ P/BV ในอดีต ทั้งนี้นักลงทุนสามารถกำหนดเอง หรือปรึกษาทางทีม IAD วางกลยุทธ์และนำเสนอนักลงทุนเพื่อกำหนดกรอบร่วมกัน
Q : หากหุ้นขึ้นอย่างเดียว หรือลงอย่างเดียวระบบทำงานอย่างไร ?
A : ในกรณีปกติ คือ ใช้เงินสดทั้งหมด เมื่อหุ้นลง ระบบจะทยอยซื้อหุ้นตามสัดส่วน ตามกรอบราคาที่วางไว้ และบันทึกต้นทุนเฉลี่ย เมื่อหุ้นขึ้นจนสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ย ระบบจะทยอยขายออกตามสัดส่วนเพื่อทำกำไร ตามกรอบราคาที่วางไว้
ในกรณีนำหุ้นมาหมุน เพื่อบริหารความเสี่ยง เมื่อหุ้นขึ้น ระบบจะทยอยขายตามสัดส่วนตามกรอบราคาที่วางไว้ และบันทึกต้นทุนเฉลี่ยขายไว้ เมื่อหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ยขาย ระบบจะทยอยซื้อกลับตามสัดส่วน ตามกรอบราคาที่วางไว้ เพื่อทำให้ต้นทุนเฉลี่ยจริงของนักลงทุนต่ำลง และเปลี่ยนเป็นเงินสดได้บางส่วน
หากหุ้นขึ้นอย่างเดียวระบบจะทยอยขายต่อเนื่องจนหมด กลับกันหากลงอย่างเดียวก็จะทยอยซื้อหุ้นจนเต็มพอร์ต แต่ในระหว่างทางสามารถปรับเปลี่ยนกรอบราคาได้
โดยทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถประเมินหรือกำหนดราคาเฉลี่ยขั้นต่ำของการซื้อหุ้นเมื่อเต็มพอร์ต หรือขายหุ้นหมดพอร์ตได้เลย เพราะเราใช้โปรแกรมในการบริหารราคาให้
Q : ถ้าเทรดตามกรอบอยู่แล้ว การใช้กลยุทธ์ Equity Spread ดีกว่าการลงทุนเองอย่างไร ?
A : ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอและส่งคำสั่งเอง เพราะมีระบบค่อยจัดการให้ นักลงทุนทำเพียงแค่ดูภาพรวมด้านกรอบราคาที่รับได้และการแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนในแต่ละโซนราคา
Q : เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้น ระบบจะขายหุ้นในราคาที่ซื้อมาก่อนหน้า หรือ ราคาเฉลี่ย หรือ ราคาล่าสุด ?
A : Equity Spread จะพิจารณาต้นทุนเฉลี่ย โดยหากราคาหุ้นขึ้นสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ย ระบบจะทยอยขายออก ซึ่งเมื่อมีการขาย ต้นทุนเฉลี่ยตามระบบ Equity Spread จะไม่เปลี่ยน แต่ตามระบบ FIS ต้นทุนเฉลี่ยจะเปลี่ยนตาม FIFO ดังนั้นในบางกรณีอาจจะเห็นต้นทุนเฉลี่ยในระบบ FIS กับในรายงานของ Equity Spread ไม่เท่ากันได้
Q : นอกจากการลงทุนในหุ้นรายตัว สามารถลงทุนใน ETF ได้หรือไม่ ?
A : คำตอบ คือ “ได้” เช่น BMSCITH ,BSET100 เป็นต้น หรือ ETF ที่มีสภาพคล่อง
Q : ในระหว่างการลงทุน นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนหุ้นใหม่หรือ ต้องการซื้อหุ้น 2 ตัวในพอร์ตเดียวกัน สามารถทำได้หรือไม่ อย่างไร?
A : สามารถทำได้ จะเป็นการทำสัญญาใช้บริการใหม่ โดยค่าธรรมเนียมที่เก็บไปแล้วจะไม่เก็บซ้ำ แต่ในกณีที่ต้องการลงทุนในหุ้นมากกว่า 1 ตัว อาจมีเงื่อนไขเรื่องเงินลงทุนขั้นต่ำเพิ่มเติม
รายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย
เงินลงทุนและค่าธรรมเนียม | Equity Spread |
เงินลงทุนเริ่มต้นขั้นต่ำ (บาท) | 20,000,000 |
ค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาการลงทุน (บาท/เดือน) | 30,000 หรือ Profit Sharing 15% |
ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย | 0.25% |
ระยะเวลาสัญญา | 2 ปี |
Tips : หลายครั้งที่นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด จากการใช้อารมณ์ ซึ่งการหารายได้แบบ passive income โดยปราศจากอารมณ์ต่างก็ต้องมีตัวช่วยและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อช่วยให้นักลงทุนประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน ได้เป็นอย่างดี