52504
52504

เทียบกันชัดๆ!! กองทุนผลงานระดับพระกาฬ ARK Invest และ Baillie Gifford ความเหมือนที่แตกต่าง

เทียบกันชัดๆ!! กองทุนผลงานระดับพระกาฬ ARK Invest และ Baillie Gifford ความเหมือนที่แตกต่าง
ถ้าพูดถึงการลงทุนในปี 2021 นี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นกลุ่ม Technology และ Innovation เป็นสิ่งที่ต้องมีติดพอร์ตแทบทุกคน เนื่องจากธุรกิจมีการเติบโตที่สูงมาก ทั้งยังมา Disrupt อุตสาหกรรมเก่า ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กับโลก ด้วยผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการที่ทำให้ผู้บริโภคใช้งานได้ดีขึ้น สะดวก ง่าย เร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งแน่นอนผู้ที่ตอบสนองได้ดีย่อมสามารถสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตขึ้นมาก และสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้อย่างมโหฬาร จึงทำให้นักลงทุนมุ่งหาการลงทุนในกลุ่มนี้มากขึ้น ในปี 2020 ที่ผ่านมากองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นล้วนแล้วแต่เป็นกองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศและมีนโยบายเน้นลงทุนบริษัทด้านนวัตกรรมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีหลายบลจ.ให้เลือกลงทุน โดยบลจ.ต่างประเทศที่มีผลงานโดดเด่นเตะตาคงจะหนีไม่พ้นบลจ. 2 ค่ายใหญ่อย่าง Baillie Gifford และ Ark Invest วันนี้ BLS Mutual Funds จะสาธยายให้ฟังว่าทั้ง 2 บลจ. มีปรัชญาและกลยุทธ์การลงทุนเหมือนหรือต่างกันอย่างไร 1
ประวัติความเป็นมาและปรัชญาการลงทุน
ARK Invest ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 (อายุประมาณ 7 ปี) โดย Catherine Wood ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ทางการเงิน ตลอดช่วงชีวิตการทำงานของ Catherine อยู่ในสายงานนักวิเคราะห์การเงินและเศรษฐศาสตร์ ARK  เน้นสร้างกองทุนแบบ ETFs ปัจจุบันมีเพียง 7 กอง โดยเป็นกองแบบ Active ETFs 5 กอง และ INDEX ETFs 2 กอง ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยระยะเวลาอันสั้น จากผลการดำเนินงาน ETFs ที่โดดเด่นติดอันดับโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (Asset Under Management) อยู่ที่ประมาณ 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ARK เห็นโอกาสจากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด รวมถึงกระบวนการวิเคราะห์การลงทุนที่แตกต่าง ไม่ได้มองแค่กำไรสุทธิ แต่ประเมินถึงแนวโน้มการเติบโตของบริษัทที่จะมา Disrupt ธุรกิจที่มีอยู่เดิม ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลต่อการเติบโตของราคาอย่างก้าวกระโดด ทำให้ผลการดำเนินงานของ ARK ETFs ทั้ง 5 ธีม สร้างผลตอบแทนได้เกิน 100% ในปี 2020 ark_article_140121_graph_11 Baillie Gifford ก่อตั้งขึ้นในปี 1908 ( อายุประมาณ 113 ปี) โดย Augustus Baillie และ Carlyle Gifford โดยเริ่มต้นจากการเป็นสำนักงานกฏหมาย ก่อนจะมองเห็นโอกาสในธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ ปัจจุบันมี Andrew Telfer เป็น CEO ซึ่งเป็นผู้ที่หลงใหลในการลงทุนและบทความวิจัยต่างๆ โดยเริ่มลงทุนเองตั้งแต่สมัยเรียนที่ Oxford มีกองทุนอยู่ภายใต้การจัดการหลักๆ14 กองทุน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุนรวม Active Fund และมีผลการดำเนินงานในแทบทุกกองทุนโดดเด่นเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (Asset Under Management) อยู่ถึง 4.45 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปรัชญาหลักการลงทุนของ Baillie Gifford มีเพียงข้อเดียวคือ “ Long-Term Philosophy ” โดยบริษัทหรือกิจการที่ลงทุนจะต้องมีโอกาสสร้างการเติบโตของกำไรได้ในระยะยาวและยั่งยืน ทำให้หลายๆกองทุนที่ออกโดย Baillie Gifford ไม่ว่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่อุตสาหกรรมใด หรือภูมิภาคใด ก็จะเน้นนโยบายแบบ Long Term Growth เป็นหลัก จะเห็นว่าทั้ง 2 บลจ. มีปรัชญาการลงทุนที่คล้ายกัน เน้นลงทุนที่พื้นฐานและเฟ้นหาหุ้นเติบโต เป็นผู้นำ และเน้นการลงทุนระยะยาว โดยบริหารกองทุนแบบ Active Fund คือผู้จัดการกองทุนทำการเลือกหุ้น ปรับพอร์ต สัดส่วนการลงทุนได้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ต่างคือ Baillie Gifford ให้ความสำคัญการเลือกลงทุนแบบ Bottom Up พิจารณาจากตัวบริษัทนั้นๆเลยว่ามีความน่าสนใจ ความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่งอย่างไร ส่วน ARK ใช้วิธีแบบผสมผสานทั้ง Top Down และ ฺBottom Up ฝั่ง TOP จะดูภาพใหญ่ก่อนว่า Theme ธุรกิจแบบไหนจะเติบโตในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เช่น DNA Technology, Fintech หรือ Robotic แล้วจึงไปเลือกลงทุนบริษัทที่มีธีมที่ตรงกับภาพใหญ่ โดย Baillie Gifford ออกกองทุนในรูปแบบกองทุนปรกติ (ซื้อกองทุนผ่านบลจ.เหมือนบ้านเรา) แต่ ARK ออกกองทุนในรูป ETFs (สามารถซื้อขายได้ Realtime ในตลาดหุ้น) โดยเป็น Active ETFs คือ ปรับได้ทุกวันไม่ใช่ปรับหรือล้อตามดัชนีแบบ INDEX ETFs ซึ่งข้อดีของทำในรูป Active ETFs คือความโปร่งใส นักลงทุนดูข้อมูลหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้ทุกวัน ต่างจากกองทุนปกติที่มีข้อมูลเป็นรายเดือน
กองทุนเด่นและ Performance ปี 2020 ของ ARK Invest และ Baillie Gifford
ARK Invest มีกองทุน ETFs เด่นๆ ทั้งหมด 5 กองทุน แบ่งตามธีมได้ดังนี้
  • ARK Innovation ETF (ARKKเน้นลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเข้ามา Disrupt ธุรกิจเดิม
  • ARK Genomic Revolution (AEKGเน้นลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับนวัตกรรมสุขภาพ การตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อค้นหาโอกาสที่จะเกิดโรคร้ายแรงและรักษาได้ก่อน
  • ARK Next Generation Internet ETF (ARKWเน้นลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จาก Internet of Things ไม่ว่าจะเป็น Cloud Computing, AI, Deep Learning, Blockchain
  • ARK Fintech Innovation (ARKFเน้นลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำนวัตกรรมทางการเงิน Fintech
  • ARK Autonomous Technology & Robotics (ARKQเน้นลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ฺBaillie Gifford มีกองทุนธีมเด่น ดังนี้
  • Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัททั่วโลก
  • Baillie Gifford Worldwide Discovery Fund เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วโลก
  • Baillie Gifford Positive Change Fund เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัทที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
  • Baillie Gifford Worldwide US Equity Growth Fund เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัทที่อยู่ในประเทศสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตและได้เปรียบในการแข่งขัน
  • Baillie Gifford Emerging Markets Leading Companies Fund เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีรายได้หลัก หรือมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่
performance
เปรียบเทียบกองทุน ARKK กับ Baillie Gifford Longterm Global Growth หมัดต่อหมัด
  • ด้านนโนบายการลงทุนและขนาดบริษัทที่ลงทุน
ทั้งกองทุน ARKK กับ Baillie Gifford Longterm Global Growth ต่างก็มีนโยบายลงทุนในหุ้นเติบโตทั่วโลก โดย ARKK ลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเข้ามา Disrupt ธุรกิจเดิม ผ่าน 4 ธีมหลักคือ Next Generation Internet, Industrial Innovation, Fintech และ DNA Technology หลายๆบริษัทจะอยู่ในช่วง Early Young Growth อยู่ในช่วงเริ่มของการเติบโต สินค้าและบริการบางบริษัทพึ่งเริ่มออกตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็ก (Small and Mid Cap) ด้าน Baillie Gifford Longterm Global Growth เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตโดดเด่นและมีความได้เปรียบในการแข่งขัน กระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม หุ้นที่ลงทุนจะอยู่ในช่วงเติบโตแล้ว ขายสินค้าและบริการออกไปแล้ว อยู่ระหว่างการขยายกิจการ บริษัทส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่และเราอาจจะคุ้นเคยกับชื่อบริษัทที่ Baillie Gifford Longterm Global Growth ลงทุนมากกว่า ARKK
  • Top10 Holdings
Capture
  • อัตราการ Turnover ของหุ้นในพอร์ต
ARK มีอัตราการ Turnover สูงกว่า Baillie Gifford Longterm Global Growth ถึงแม้ว่าทั้งคู่มองการลงทุนระยะยาว แต่อัตราการ Turnover หุ้นในพอร์ทของ ARK มีความถี่มากกว่า โดยหากพิจารณาตัวเลข Turnover Ratio กอง ARKK อยู่ที่ประมาณ 80% (ถือหุ้นเฉลี่ย 1.25 ปี) หุ้น 10 อันดับแรกของปีที่แล้วกับปัจจุบันเปลี่ยนไปหลายตัว ซึ่งอาจจะถืออยู่แต่สัดส่วนลดลงไป อย่างปีที่แล้วจะมีหุ้น 2U, Lending tree, Illumina ติด Top10 ปัจจุบันไม่ติดแล้ว ในขณะที่ LTGG Turnover Ratio อยู่ที่ 19% (ใช้เวลาถือหุ้นประมาณ  5.26 ปี) ใน 1 ปีหุ้น Top 10 หายไปแค่ตัวเดียวคือ Facebook เห็นได้ว่า LTGG ถือหุ้นยาว และ FOCUS และพิถีพิถัน ในการลงทุนพอสมควร
  • Performance ย้อนหลัง
ต้องบอกว่าเด็ดดวงทีเดียวสำหรับทั้ง 2 ค่าย ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทั้ง ARKK และ Baillie Gifford Longterm Global Growth ล้วนแล้วแต่สร้างผลงานโดดเด่น เอาชนะดัชนี Nasdaq ไปอย่างกระจุยกระจาย โดยกองทุน ARKK สร้างผลตอบแทนได้ถึง 152.51% ด้าน Baillie Gifford Longterm Global Growth (LTGG) สร้างผลตอบแทนได้ 101.76% เรียกว่าทั้งคู่เอาชนะ Nasdaq ซึ่งให้ผลตอบแทน 46 %เป็นเท่าตัว Outlook-yqctvtao ที่มา : Yahoo Finance ข้อมูล ณ วันที่ 10 ก.พ. 64
  • ความเสี่ยง
พูดถึงเรื่องความเสี่ยงก็ต้องพิจารณาจากส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยกองทุน ARKK ผันผวนระดับ 35% ในขณะที่ Baillie Gifford Longterm Global Growth อยู่ระดับที่ 25% กองทุน ARKK จึงมีความเสี่ยงหรือผันผวนของราคามากกว่า เนื่องด้วยกองทุน ARKK ลงทุนในบริษัทขนาดกลาง-เล็ก และอยู่ในช่วงเริ่มของการเติบโตจึงดูมีความเสี่ยงกว่า Baillie Gifford Longterm Global Growth แต่ความเสี่ยงตรงนี้ลดทอนได้ด้วยการทำการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ARKK เองมีนักวิเคราะห์หลายคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการการเงิน แต่อยู่ในวงการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการแพทย์ วิศวกร ที่มีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมและบริษัทที่จะไปลงทุนเป็นอย่างดี
  • ตัวอย่างความสำเร็จ
จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 บลจ. ถือหุ้นอันดับ 1 คือ Tesla เหมือนกันและถือมานาน โดย Baillie Gifford เริ่มซื้อปี 2013 ต้นทุนแถวๆ 6 เหรียญ  มูลค่าตอนนี้ของ Tesla คือ 850 เหรียญ สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับกองทุน ด้าน ARKK ก็ไม่เบา ได้ Call ซื้อ Tesla เมื่อปี 2018 ราคาประมาณ 30-40 เหรียญ โดยมองว่าอีก 5 ปี จะขึ้นไป 800 เหรียญ แต่ปรากฎว่าใช้เวลาเพียง 2 ปี ราคาหุ้น Tesla ก็ทะลุ 800 เหรียญ สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้ ARKK เช่นกัน โดย ณ วันที่ทั้งคู่ซื้อ Tesla ยังมีปัญหาเรื่องการส่งมอบสินค้าและปัญหาทางการเงิน แต่ด้วยการมองขาดถือยาว ทำให้ทั้งคู่ทำกำไรได้มหาศาล
เลือกอะไรระหว่าง ARK กับ Baillie Gifford ?
ทั้ง ARK Invest และ Baillie Gifford ต่างก็มีผลงานดีเยี่ยมทั้งคู่ แม้ ARK จะมีผลตอบแทนที่ผ่านมาสูงกว่า แต่ก็มีความผันผวนของราคาที่สูงกว่าเช่นกัน เข้าทฤษฎี High Risk High Return โดย ARK เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีความผันผวนของราคามากกว่า ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง คัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพในช่วงเริ่มต้นการเติบโตของบริษัท แน่นอนว่ารายได้อาจจะเติบโต แต่สุดท้ายในช่องกำไร/ขาดทุนอาจจะยังเป็นตัวแดงติดลบอยู่ ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ในการมองธุรกิจว่าเมื่อผ่านจุด Trigger Point ที่ทำให้ยอดขายเพิ่ม ต้นทุนลด จะสามารถสร้างการเติบโตแบบยกกำลัง Exponential Growth ส่วนของ Billie Gifford ที่เน้นหุ้นเติบโตเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นบริษัทที่เติบโตมาแล้วระดับหนึ่ง อาศัยการวิเคราะห์ที่เฉียบขาด มองระยะยาว และถือลงทุนระยะยาว อย่าง Tesla ถือมา 8 ปีก่อนหน้า และเริ่มลงทุน Amazon มาตั้งแต่ 16 ปีก่อน อันนี้เป็นปรัชญาการลงทุนของ   Baillie Gifford  ที่จะถือหุ้นจนกว่าหุ้นจะแสดงศักยภาพแท้จริงในระะยาว ดังนั้นใครที่ชอบหุ้นกลางเล็กขึ้นรวดเร็ว ARK น่าจะตอบโจทย์ ส่วนใครที่ชอบหุ้นที่ผันผวนน้อยลงมาหน่อย ก็ต้อง Baillie Gifford   
อยากลงทุน ARK Invest และ Baillie Gifford ต้องทำอย่างไร
ปัจจุบันมีกองทุนไทยหลายกองที่ลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของทั้ง 2 บลจ.นี้ ซึ่งกองทุนที่เราแนะนำใน BLS Top Funds ได้แก่ ลงทุนผ่านกองทุนของ ARK Invest
  • LHINNO ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่เกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่ๆที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเดิมและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน ARKK, ARKG และ Invesco WilderHill Clean Energy ETF
  • TMB-ES-GINNO เน้นลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ (เทคโนโลยีหุ่นยนต์, แบตเตอรี่, DNA Sequencing, AI และ Blockchain) ที่จะสามารถเข้า Disrupt ธุรกิจในลักษณะเดิมๆ ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation ซึ่งพอร์ตการลงทุนคล้าย ARKK มาก
ลงทุนผ่านกองทุนของ Baillie Gifford
  • ONE-UGG-RA ลงทุนในหุ้นเติบโตทั่วโลก ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth โดยกองทุนเน้นบริหารแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพเน้นลงทุนระยะยาว
  • K-CHANGE-A(A) ลงทุนในธุรกิจที่มีสินค้าและบริการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมผ่าน หน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Positive Change Fund
  • ONE-DISC-RA ลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ที่มีศักยภาพในการเติบโตโดดเด่นและมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Worldwide Discovery Fund - Class B USD Accumulation
  • KF-US ลงทุนในหุ้นเติบโตระยะยาวในสหรัฐฯ ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Worldwide US Equity Growth Fund
บลจ.ต่างประเทศ
ลงทุนอย่างมีวินัยด้วย DCA ผ่าน Streaming for Fund
สำหรับนักลงทุนหลายๆท่านที่ไม่รู้จะเข้าซื้อกองทุนช่วงไหน จับจังหวะไม่ถูก ก็สามารถส่งคำสั่งซื้อกองทุนด้วยวิธี DCA (Dollar-Cost-Averaging) ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสะสมทรัพย์สินได้ทีละน้อยๆ โดยไม่ต้องทุ่มเงินก้อนใหญ่เพียงทีเดียว ท้ายที่สุดก็จะได้ต้นทุนที่ไม่สูงเกินไป สามารถทำรายการผ่าน Streaming for Fund ได้ตามขั้นตอนดังนี้ dca 1Fund Code – ระบุชื่อกองทุนที่ต้องการซื้อ หรือ คลิก search เพื่อค้นหาจากรายการ 2Amount – ระบุจำนวนเงิน (บาท) 3Frequency – ความถี่ในการลงทุน สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ Monthly รายเดือน, Weekly รายอาทิตย์
  • กรณีที่เลือก Monthly สามารถเลือกระบุวันลงทุนได้ วันที่ 131
  • กรณีที่เลือก Weekly สามารถเลือกระบุวันลงทุนได้ วันจันทร์ – ศุกร์
4Valid From – ระยะเวลาเริ่มต้นลงทุน (สามารถเลือกได้ตั้งแต่วันที่ปัจจุบันถึง 1 ปีข้างหน้า) 5Valid To – ระยะเวลาสิ้นสุดการลงทุน (สามารถเลือกได้ตั้งแต่วันที่ปัจจุบันถึง 1 ปีข้างหน้า) 6Payment Type – ชำระเงินเพื่อซื้อกองทุนผ่านบริการหักเงินจากบัญชีธนาคารอัตโนมัติ (ATS) ** กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ 5,000 บาท ** 7ระบุ PIN จากนั้นกด SUBMIT ตรวจสอบความถูกต้อง และกด Confirm
เปิดบัญชีกองทุนออนไลน์…พร้อมซื้อได้ครบที่เดียว 17 บลจ. อ่านวิธีเปิดบัญชีกองทุน…คลิกที่นี่
fund01

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง