bidencare
bidencare

3 บริษัทยายักษ์ใหญ่ ETF Healthcare แห่งสหรัฐฯ ที่อาจได้ประโยชน์จาก “BidenCare”

3 บริษัทยายักษ์ใหญ่ ETF Healthcare แห่งสหรัฐฯ ที่อาจได้ประโยชน์จาก “BidenCare”

เสร็จสิ้นแล้ว! กับการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนที่ 46 โดย คุณโจ ไบเดน เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง จากการดีเบตที่ผ่านมา… คุณไบเดน ก็ได้เปิดเผยนโยบายระหว่างการดีเบตมาหลากหลายนโยบาย โดย 1 ในนั้น คือ นโยบาย “BidenCare”

วันนี้เราจึงชวนนักลงทุนทุกท่านมาเปรียบเทียบ 3 บริษัทยายักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐฯกัน ที่เราเชื่อว่าอาจได้ประโยชน์จาก BidenCare ของคุณไบเดน กันค่ะ ! 

FINAL-AW-Compare-3-บริษัทยา-1-min.jpg

 

3 บริษัทยาทำธุรกิจอะไรบ้าง ?

   เริ่มจากบริษัท Johnson & Johnson (JNJ) ซึ่งเป็นบริษัทยาสัญชาติอเมริกันที่มีธุรกิจที่หลากหลาย เริ่มก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2429 โดยคุณ Robert Wood Johnson, James Wood Johnson และ Edward Mead Johnson ดำเนินธุรกิจขายยาและวัคซีนที่บริษัทฯ กำลังพยายามเร่งมือผลิตวัคซีนโควิด-19 อยู่ อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคเพื่อสุขภาพที่ทุกท่านอาจจะคุ้นเคยกัน อาทิ น้ำยาบ้วนปาก Listerine, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผม Neutrogena, Aveeno และคอนแทคเลนส์ Acuvue

   ต่อมาเป็นบริษัท UnitedHealth Group (UNH) ก่อตั้งเมื่อปี 2517 โดยคุณ Richard Burke ในรัฐ Minnesota โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างผลกำไรให้กับประเทศสหรัฐฯ อีกทั้งเป็นบริษัทฯที่ดำเนินธุรกิจการจัดการเกี่ยวกับระบบดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบ Point-of-service (POS) และ Health maintenance organization (HMO) โดยมีการเข้าร่วมโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาล (Medicare / Medicaid) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจัดให้บริการโปรแกรมด้านสุขภาพอื่นๆ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวอเมริกันและให้บริการด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ร่วมด้วย

   สุดท้าย คือ บริษัท Pfizer (PFE) ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2392 โดยคุณ Charles Pfizer ชาวอเมริกัน-เยอรมัน โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 63 บริษัทฯ ออกมาประกาศว่า การคิดค้นวัคซีนโควิด-19 ที่ร่วมมือกับบริษัท BioNTech นั้น มีอัตราประสิทธิภาพ (Efficacy rate) ที่ 90% หลังทำการทดสอบ โดยบริษัททำธุรกิจหลักเกี่ยวกับ การคิดค้น พัฒนา และผลิตยา

บริษัททั้ง 3 ล้วนเป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อีกทั้งเป็นเจ้าตลาดและดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลานาน มีรากฐานที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ…

ในปัจจุบัน นักลงทุนหลาย ๆ ท่านอาจเล็งเห็นโอกาสการลงทุนใน ETF ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง และนักลงทุนสามารถเลือกลงทุน โดยทำการเลือกประเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม หรือแม้แต่กลุ่ม Sector ได้ อีกทั้งยังมีผู้ดูแลกองทุนช่วยติดตามผลการลงทุนอยู่เสมอ

ทีม BLS Global Investing อยากชวนมารู้จักกับ ETF 3 กองที่น่าสนใจ มีสภาพคล่องดี และเป็นกองที่เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ของประเทศสหรัฐอเมริกา

1. Healthcare Select Sector SPDR Fund (XLV)

กองทุนรวม Exchanged Traded Fund (ETF) ที่ออกโดย SPDR จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE Arca) มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Health Care Select Sector ซึ่งเป็นดัชนีที่มีส่วนประกอบเป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare และที่อยู่ในดัชนี S&P 500 (Expense Ratio ที่ 0.13%)

00.jpg

                                                                                                                                                              ข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย. 63

2. Vanguard Healthcare ETF (VHT)

กองทุนรวม ETF ที่ออกโดย Vanguard และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE Arca) มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI US Investable Market Health Care โดยมีสัดส่วนการลงทุนเหมือนกันกับดัชนีดังกล่าว (Expense Ratio ที่ 0.10%)

02.jpg

ข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย. 63

3. iShares U.S. Healthcare ETF (IYH)

กองทุนรวม ETF ที่ออกโดย iShares และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE Arca) มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Dow Jones U.S. Healthcare Sector โดยมีสัดส่วนการลงทุนเหมือนกันกับดัชนีด้งกล่าว (Expense Ratio ที่ 0.43%)

03.jpg

ข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย. 63

ตารางเปรียบเทียบ 3 ETFs

01.jpg

ข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย. 63

ว่าแต่… ทำไมถึงต้องเป็นกลุ่ม Healthcare และทำไมต้องเป็นสหรัฐฯ
อ่านต่อเพื่อหาคำตอบกันค่ะ!!!

ก่อนคุณไบเดนขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาเคยได้พูดถึงนโยบายที่มีชื่อว่า BidenCare
ซึ่งมีโมเดลหรือลักษณะคล้ายกันกับ ObamaCare…

 

00.jpg

 

BidenCare หรือ Affordable Care Act (ACA) ถูกพัฒนามาจาก Obamacare ซึ่งเป็นกฏหมายประกันสุขภาพที่กำหนดขึ้นมา เพื่อคุ้มครองและปกป้องสิทธิของผู้ป่วยชาวอเมริกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึงที่สุด คุณไบเดน ออกมาประกาศผ่านเว็บไซต์ของเขา (https://joebiden.com/healthcare/) ถึง 4 Pillars หรือ 4 เสาหลักที่ต้องการจะทำ ดังนี้…

  1. Creating a new, public health insurance option เพื่อให้มีลักษณะคล้ายกับ Medicare และเพื่อให้ชาวอเมริกันสามารถ
    เข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง
  2. Streamlining health care plan เพื่อทำให้การรักษาพยาบาลมีขั้นตอนที่ง่ายขึ้น และมีต้นทุนที่ลดลง
  3. Reducing prescription drug costs จากการปรับเปลี่ยนกฎหมายและเพิ่มการแข่งขันระหว่างประเทศ
  4. Keeping health care accessible for all ทำให้เรื่องสุขภาพเข้ากับเงื่อนไขที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้การเข้ารับการรักษาเป็นเรื่องของทุกคนได้

ศึกษานโนบาย BidenCare เพิ่มเติม สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่…https://joebiden.com/healthcare/

ย้อนดูดัชนี Healthcare Select Sector ช่วง ObamaCare

หากลองมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาของ Obama Care ที่มีการนำ Affordable Care Act เข้าสู่กฎหมายของสหรัฐฯ ณ วันที่ 23 มี.ค. 2553 จนถึงวันนี้ เมื่อนำดัชนี Healthcare Select Sector (เส้นสีฟ้า) มาเปรียบเทียบกับดัชนี S&P 500 (เส้นสีม่วง) ตามภาพ

11-2.jpg

ข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย. 63

จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนของดัชนี Healthcare Select Sector นั้น ปรับขึ้นได้ดีกว่า ดัชนี S&P 500 ดังนั้นหาก BidenCare ถูกพัฒนาและปรับปรุงอย่างจริงจัง ตามที่ คุณไบเดน เคยกล่าวเอาไว้ อาจส่งผลต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare มีผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกครั้งก็เป็นได้

บทความนี้อ้างอิงข้อมูลจาก :
Bloomberg, Johnson & Johnson, Pfizer, CNBC, Joebiden.com

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง