
ในโลกยุคปัจจุบันที่การสื่อสาร การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เรียกได้ว่าไร้พรมแดน ทำให้การลงทุนข้ามประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ทีม BLS Global Investing มองเห็นถึงแนวโน้มดังกล่าวค่ะ จึงขอนำเสนอหุ้นตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ที่แนวโน้มกำไรน่าจะเติบโตไปพร้อมกับปริมาณนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และการซื้อขายของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยสามารถลงทุนในหุ้นตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำเหล่านั้นได้ง่ายๆ ผ่านตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ หรือฮ่องกงค่ะ
เรามาเริ่มต้นกันที่หุ้นตัวแรกเลยดีกว่า ซึ่งก็คือ Intercontinental Exchange (ICE) จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ โดย ICE ถือเป็น Holding Company มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่ หุ้น ETF ตราสารหนี้และอนุพันธ์ รวมถึงถือครองตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง New York Stock Exchange (NYSE) ซึ่ง NYSE มีหลักทรัพย์จดทะเบียนมากที่สุดถึง 3,416 ตัว และมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 6.3 ล้านล้านบาท (มากกว่าตลาดหุ้นไทยถึง 150 เท่า)
หากพูดถึงรายได้นั้น รายได้หลักของ ICE นั้นมาจากการขายข้อมูลราคา Real Time ของหลักทรัพย์ ซึ่งราคา Market Data พวกนี้นั้นราคาสูงมาก ราคาต่อเดือนนั้นเป็นหลักแสนบาท โดยลูกค้าหลักๆ ของ ICE คือเหล่าบริษัทที่พัฒนาระบบซื้อขายหุ้นทั้งหลาย รวมถึงบริษัทที่จัดทำข้อมูลด้านหลักทรัพย์ และบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลราคาหุ้นในตลาด NYSE
ถัดมาก็คืออีกหนึ่งตลาดยอดฮิตสำหรับหุ้นเทคอย่าง NASDAQ Inc. (NDAQ) โดยตลาด NASDAQ นั้นโดดเด่นด้วยระบบการซื้อขายที่ทันสมัย ถือเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกที่ซื้อขายด้วยระบบอิเล็กหรอนิกส์ และเป็นตลาดแรกที่ออกสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีหลายๆ แห่ง ใน Silicon Valley ให้เข้ามาจดทะเบียน ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นบริษัทเทคใหญ่ๆ นั้นจะเริ่มต้นจดทะเบียนใน NASDAQ ทั้งนี้ NASDAQ มีหลักทรัพย์จดทะเบียนทั้งหมด 2,536 ตัว มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท
ในไตรมาสแรกปี 62 NASDAQ นั้นคึกคักจากหุ้นเทค IPO เช่นบริษัท Ride Sharing คู่แข่ง Uber อย่าง Lyft บริษัทที่สร้าง Platform วีดิโอสื่อสารอย่าง Zoom Techonologies รวมถึงบริษัทที่ผลิตอาหารที่ทำจากพืชอย่าง Beyond Meat ทั้งนี้รายได้หลักของ NASDAQ นั้นมาจากการให้บริการด้านข้อมูล เช่น ข้อมูลราคาหลักทรัพย์ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นไปยังการสร้างรายได้จากการให้บริการด้านดัชนี เช่น ตระกูล NASDAQ Index เป็นต้น
ต่อไปเราลองมาดูหุ้นตลาดอนุพันธุ์กันบ้างอย่าง CME Group (CME) โดยถือเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีสินค้าอ้างอิงครอบคลุมแทบทุกสินทรัพย์ ตั้งแต่ ดอกเบี้ย ดัชนีหุ้น อัตราแลกเปลี่ยน ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 19.2 ล้านสัญญา
CME นั้นโดดเด่นในการมีมูลค่าซื้อขายที่สูง โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันนั้นเติบโตขึ้นประมาณ 13% ต่อปีในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา รวมถึง CME ยังคิดค้นสินค้าใหม่ ๆ ออกมาไม่คาดสาย เช่น Bitcoin Futures เป็นต้น โดยทีมงานได้มีโอกาสพบทีม CME อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากต้องการขยายฐานนักลงทุนมายังไทย
หันมาดูทางเอเชียกันบ้าง Hong Kong Exchange (HKEX) นั้นก็จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง โดยถูกจัดเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย รองจาก ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น และเซี่ยงไฮ้ HKEX นั้นมีประเภทหลักทรัพย์ที่หลากหลายให้ลงทุน ตั้งแต่ หุ้น ETFs อนุพันธ์ รวมถึง Structured Products ทั้งหมดถึง 13,930 ตัว และมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท
Hong Kong Stock Exchange เค้ามีชื่อเสียงด้าน IPO ซึ่งครองตำแหน่งแหล่ง IPO อันดับ 1 ของโลกมาแล้วถึง 6 ปีซ้อน แถมยังถูกขนานนามให้เป็นศูนย์กลางในการจดทะเบียนของหุ้น Biotech หลังจากที่มีการลดหย่อนทางด้านกฎเกณฑ์มากขึ้น ทำให้ใน 4 เดือนแรกของปี 62 นั้น มีบริษัท Biotech เข้ามาจดทะเบียนแล้วถึง 9 บริษัท
ล่าสุดมีข่าวดังเรื่อง Alibaba ประกาศจะจดทะเบียนในตลาด HKEX หลังประสบความสำเร็จในการจดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมูลค่าซื้อขายต่อวันของ Alibaba นั้นสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท (มูลค่าซื้อขายนั้นสูงกว่า Tencent ถึง 3 เท่า) ส่งผลทำให้ในอนาคต เราอาจเห็นหุ้นจีนหลายๆ หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ ย้ายมาจดทะเบียนในตลาดฮ่องกงเป็นตลาดที่ 2
Source : HKEX, NASDAQ, NYSE, CME Group, Bloomberg, BLS Global Investing
หากท่านใดสนใจลงทุนในหุ้นตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก
สามารถเปิดบัญชีลงทุนต่างประเทศ BLS Global Investing ได้ง่ายๆ!!
สอบถามข้อมูลได้ที่ BLS Customer Service หรือ 02-618-1111
หรือ อ่านบทความเกี่ยวกับ BLS Global Investing… คลิกที่นี่