
Tips
HOT !!! ตั้งแต่ยังไม่เข้าตลาดหุ้น กล้าพูดเช่นนี้กับ หุ้น ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA ของ “ตระกูลตั้งคารวคุณ” เพราะยอดจองซื้อหุ้น IPO ของนักลงทุนสถาบันทั้งในและนอกประเทศที่มีเข้ามาเกินกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้ถึง 20 เท่า!!!
ความร้อนแรงในวันนั้น ถือเป็นหนึ่งแรงผลักที่ทำให้ราคาหุ้น TOA นับตั้งแต่เข้าซื้อขายในวันที่ 10 ต.ค. 2560 จนปัจจุบัน ขยับตัวขึ้นแล้วเฉลี่ย 53.13% (ตัวเลข ณ วันที่ 22 มี.ค. 2561) จาก “จุดต่ำสุด” 28 บาท ขึ้นมาสู่ “จุดสูงสุด” 38.50 บาท (ราคา IPO 24 บาท) ผลักดันให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ขึ้นจาก 4.86 หมื่นล้านบาท เป็น 7.45 หมื่นล้านบาท (ราคาปิด ณ วันที่ 23 มี.ค. 61 เท่ากับ 36.25 บาท )
แม้วันนี้ราคาหุ้น TOA จะสะท้อนข่าวดีที่ว่า “แนวโน้มกำไรครึ่งปีแรกอาจออกมาดีมาก หนุนโดยราคาขายสีทาอาคารเฉลี่ยที่สูงขึ้น 5% และราคาต้นทุนวัตถุดิบทรงตัว” แต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง เชื่อมั่นว่า “กำไรบริษัทอาจเติบโตต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนหลัง” ฉะนั้นสิ้นปี 2561 บริษัทอาจทำกำไรสุทธิได้ระดับ 2,416 ล้านบาท เทียบกับปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 1,710 ล้านบาท
R&D กุญแจแห่งความสำเร็จ“คุณพงษ์เชิด จามีกรกุล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) เล่าให้ “เม่าจำไม By Bualuang Securities” ฟังว่า ตามคำบอกเล่าของ “คุณประจักษ์ ตั้งคารวคุณ” ผู้ก่อตั้ง TOA ได้ความว่า องค์กรอายุกว่า 50 ปีแห่งนี้ ผ่านมาแล้วหลายร้อนหลายหนาว แต่วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 ทำให้เรามีโครงสร้างองค์กรแข็งแกร่งขึ้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ TOA ความสำเร็จที่ทำให้ TOA ได้ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 สีทาอาคารในเมืองไทย เกิดขึ้นจากหลากหลายปัจจัย เช่น 1. พยายามทำแต่เรื่องที่มีความเชี่ยวชาญอย่างธุรกิจสี ด้วยการพัฒนานวัตกรรม และลงทุนด้าน R&D อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นผู้ผลิตสีรายใหญ่ที่สุดในแถบเอเชีย และ 2. บุคลากรมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมสีเป็นอย่างดี ทำให้ทุกครั้งที่กระโดดเข้าไปในตลาดใหม่ๆ เรามักปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เป็นต้น

( ที่มา : บริษัท TOA )
ก่อนตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ TOA ใช้เวลาปีกว่าในการปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งวัตถุประสงค์หลักในการระดมทุนครั้งนี้ต้องการนำเงินไปขยายกำลังการผลิตในประเทศอินโดนีเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และกัมพูชา หลังมองว่า การขยายตัวไปข้างหน้ายังคงจำเป็น เพื่อขยายตลาดให้กว้างมากขึ้น แม้วันนี้ TOA จะมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 สีทาอาคารในเมืองไทย และประสบความสำเร็จอย่างดีในการเจาะตลาดต่างประเทศตลอด 20 ปีที่ผ่านมา สะท้อนผ่านการเป็นผู้เล่น TOP 3 ของแถบประชาคมอาเซียนก็ตาม “ช่วงที่ขายหุ้นไอพีโอ นักลงทุนสถาบันทั้งในและนอกประเทศ แสดงความสนใจหุ้น TOA อย่างมาก นั่นอาจเป็นเพราะเขามีความเชื่อมั่นว่า TOA จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ปัจจุบันมีกองทุนถือหุ้น TOA ค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่ถือลงทุนระยะยาว นั่นหมายความว่า ราคาหุ้นจะมีสเถียรภาพมากขึ้น”กระตุ้นการบริโภคสี โจทย์ระยะยาว“คุณพงษ์เชิด” เล่าว่า เรามีความพยายามที่จะกระตุ้นการบริโภคสีภายในประเทศ หลังประเทศไทยมีการบริโภคสีต่ำเพียง 8 ลิตรต่อคนต่อปี ตรงข้ามกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ที่มีการบริโภคสีสูงถึง 15 ลิตรต่อคนต่อปี “ในอนาคตตลาดสีจะมีหน้าเปลี่ยนไป เพราะผู้บริโภคจะมองถึงเรื่องโซลูชั่นเป็นหลัก ฉะนั้นหน้าที่ของเรา คือ กลับไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการให้มากที่สุด” วิธีการ คือ 1. กระจายสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น แม้ปัจจุบันสินค้า TOA จะเข้าถึงทุกจังหวัดแล้ว แต่หากมองในแง่ของอำเภอยังเข้าถึงเพียง 90% เท่านั้น ยังเหลืออีก 10% ที่ยังสามารถทำการตลาดได้อีก 2. สร้างการรับรู้เกี่ยวกับว่า “สีใช้ง่าย สีใช้เงินไม่มาก และสีตอบสนองตัวตนที่แท้จริง” โดยเครื่องผสมสีของเราจะทำให้ลูกค้าได้สีตามต้องการ ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคสี 3. นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาทำให้สินค้ามีคุณภาพตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น ปัจจุบันสภาพแวดล้อมเปลี่ยนทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น คนเริ่มมีเวลาในการเดินทางน้อยลง ทำให้มีเวลาทำเรื่องอื่นๆน้อยลงไปด้วย ฉะนั้นในฐานะผู้นำสีทาอาคารต้องทำให้สีมีกลิ่นน้อยที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าใช้งานได้ทันทีเมื่อทาสีเสร็จ

( ที่มา : บริษัท TOA )
ปัจจุบัน TOA มีโรงงานในประเทศ 3 แห่ง คือ แถวบางนา ซึ่งเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุด แถวเทพารักษ์ และแถวสำโรง กำลังการผลิตรวม 88 ล้านแกลลอนต่อปี คิดเป็นกำลังการผลิต 55-60% ซึ่งสามารถรองรับความต้องการใช้ในประเทศได้ประมาณ 4-5 ปีข้างหน้า ฉะนั้นหากการใช้สีในประเทศเพิ่มขึ้น กำลังการผลิตที่มีอยู่ของเราสามารถรองรับได้สบายๆ โดยที่ไม่ต้องเพิ่มกำลังการผลิต แต่อาจต้องเพิ่มเครื่องมือบางชนิด “ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2560-2564) การบริโภคสีภายในประเทศอาจเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ส่วนการบริโภคสีในกลุ่มเอเชียอาจเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.9%” เจ้าของภาพยนตร์โฆษณาชุด “สีทนได้” ทนขั้นสูง เชื่อมั่นเช่นนั้นโชว์แผนลงทุนต่างประเทศคุณเชิดพงษ์ ย้ำว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานในต่างประเทศที่ดำเนินการผลิตแล้ว 5 แห่ง กำลังการผลิตรวม 14 ล้านแกลลอนต่อปี ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา ส่วนโรงงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมีด้วยกัน 3 แห่ง คือ อินโดนีเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และกัมพูชา คาดว่าโรงงานจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ในเดือนมิ.ย.เดือนก.ย. และเดือนธ.ค.นี้ ตามลำดับ หากทั้ง 3 โรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 14.5 ล้านแกลลอนต่อปี ส่งผลให้สัดส่วนกำลังการผลิตในและนอกประเทศมีหน้าตาเปลี่ยนแปลงไป จาก 84% และ 16% เป็น 72% และ 28% ตามลำดับ ส่วนในแง่ของรายได้คงขยายตัวเช่นกัน แต่จะเติบโตไปถึงระดับไหนคงระบุชัดๆไม่ได้ บอกได้เพียงว่า อยากมีส่วนแบ่งการตลาดในอินโดนีเซียประมาณ 5% จากมูลค่าตลาดประมาณ 40,000 ล้านบาท แต่คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปีข้างหน้า ถึงจะได้ตัวเลขนี้มาครอบครอง เหตุผลที่ขยายการเติบโตเข้าไปในประเทศอินโดนีเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และกัมพูชา เป็นเพราะมองเห็นโอกาสในการหารายได้ ปัจจุบันทั้ง 3 ประเทศยังมีการบริโภคสีในอัตราต่ำ อย่างอินโดนีเซียมีประชากรมากกว่า 250 ล้านคน ตลาดสีใหญ่กว่าไทย 2 เท่า แต่ยังมีการบริโภคสีเพียง 6 ลิตรต่อคนต่อปี ส่วนประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และกัมพูชา มีการบริโภคสีเฉลี่ย 1.2-1.5 ลิตรต่อคนต่อปี
(ที่มา : บทวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง ฉบับวันที่ 14 มี.ค. 61 แนะนำ "ถือ" ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 35.75 บาท )
Tips
Global
DR01
สอนลงทุน
Tips
Tools
สอนลงทุน
สอนลงทุน
Tools
Tips
Tips
สอนลงทุน