healthandwealthcare
healthandwealthcare

สรุปสัมมนา Health & Wealth Care : บริหารการลงทุน เจาะแนวโน้ม “หุ้นกลุ่มสุขภาพ” และ “นวัตกรรมทางการแพทย์”

สรุปสัมมนา Health & Wealth Care : บริหารการลงทุน เจาะแนวโน้ม “หุ้นกลุ่มสุขภาพ” และ “นวัตกรรมทางการแพทย์”

ข้อมูลจากงานสัมมนาออนไลน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จากหลักทรัพย์บัวหลวง ในหัวข้อ Health & Wealth Care : บริหารการลงทุน เจาะแนวโน้ม “หุ้นกลุ่มสุขภาพ” และ “นวัตกรรมทางการแพทย์” ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูล ซึ่งคัดสรรมาเพื่อผู้ลงทุนโดยเฉพาะ

วันนี้เราไม่พลาดคัดไฮไลท์สำคัญในแต่ละช่วงมาฝากผู้ลงทุนทุกท่าน

เริ่มกันที่ช่วงแรก เราได้รับเกียรติจาก ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้มาเล่าถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยดูเหมือนจะดีขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สะท้อนได้จากอัตราของคนไข้ที่มีอาการป่วยหนักเริ่มลดลง

สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศ สายพันธุ์เดลตายังคงมีการระบาดอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางประเทศสถานการณ์ดูเหมือนจะสงบลง แต่ก็อาจมีการติดเชื้อเพิ่มใหม่ได้อีกเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2564 นี้ หลาย ๆ ประเทศก็กำลังกังวลในเรื่องของการกลับมาระบาดอีกระลอก เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็น จะทำให้โรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อทางเดินหายใจเกิดการระบาดได้ง่ายขึ้น ทำให้ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เริ่มวางแผนฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ให้ประชาชนแล้ว เพื่อรับมือกับการระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ปัจจัยที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นคือเรื่องอะไร

อาจารย์มานพ ตอบคำถามนี้ว่า การที่ประชาชนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างทั่วถึง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น

ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีมาผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 หลัก ๆ ดังนี้

  1. เทคโนโลยี MRNA จะเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ณ ตอนนี้ เช่น วัคซีน Pfizer และ วัคซีน Moderna
  2. เทคโนโลยี Viral vector จะมีประสิทธิภาพรองลงมา เช่น วัคซีน Johnson and Johnson และ วัคซีน Astrazeneca
  3. เทคโนโลยี Protein subunit ในส่วนของเทคโนโลยีชนิดนี้ ยังคงไม่ได้มีการใช้เป็นวงกว้าง
  4. เทคโนโลยีที่ใช้ วัคซีนเชื้อตาย จะมีประสิทธิภาพด้อยที่สุด เช่น วัคซีน Sinovac และ วัคซีน Sinopharm

จำเป็นต้องบูสเตอร์เข็ม 3 หรือไม่…

ปัจจุบัน โควิด-19 สายพันธุ์เดลตา เป็นสายพันธ์หลักที่กำลังแพร่ระบาดในโลกตอนนี้ ซึ่งเป็นเชื้อที่แพร่เร็ว ดื้อต่อภูมิคุ้มกันและวัคซีนมากกว่าตัวอื่น ๆ วัคซีนชนิดเดิมที่มีประสิทธิภาพกับสายพันธุ์อู่ฮั่น จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าลดลง อีกทั้งบางคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพ หรือภูมิร่างกายก็จะลดลง ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นนี้ ก็ทำให้มีความจำเป็นที่ควรจะต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่ม

 

สำหรับช่วงที่ 2 คุณเอิร์ธ รัฐศรัณย์ กูรูหุ้นต่างประเทศ ก็มาเล่าถึง โอกาสในการลงทุนหุ้นกลุ่ม Healthcare ผ่านตลาดหุ้นสหรัฐฯ 🤩

ภาพรวมกลุ่ม Healthcare ของโลก

ในปี 63 การใช้จ่ายทางการแพทย์ทั่วโลกมีการชะลอตัวลงราว 2.6% เมื่อเทียบกับปี 62 สาเหตุมาจากการล็อคดาวน์ในช่วงระบาดของโควิด-19 และมาตรการ Social Distancing ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคนที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ด้าน Deloitte คาดการใช้จ่ายด้านการแพทย์ทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 3.9% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 63-67 โดยเราได้แบ่งปัจจัยบวกต่อกลุ่มการแพทย์ออกเป็น 4 ปัจจัย ดังนี้

  1. Aging Population ประชากรผู้สูงอายุในโลกอาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยอายุเฉลี่ยของคนอาจเพิ่มขึ้นสู่ราว 74.9 ปีภายในปี 67
  2. Rebound of Medical Activities กิจกรรมทางการแพทย์ที่ลดลง และหยุดชะงักไปจากสถานการณ์โควิด-19 ที่จะกลับมาฟื้นตัวและดำเนินการต่อได้ อีกทั้งผู้บริโภคเริ่มกล้ากลับมาเข้ารักษาเพิ่มมากขึ้น
  3. Demand Increasing หลังจากเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้คนเริ่มหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ตระหนักในเรื่องของการรักษาสุขภาพมากขึ้น หนุนปริมาณการเข้ารับบริการด้านการแพทย์ให้โตต่อ
  4. Technological Advances ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และช่วยลดต้นทุนในการรับบริการ หนุนการเข้าถึงทางการแพทย์ทั่วโลก

ต่อมา คุณเอิร์ธ ได้สรุปเป็น Megatrend โลก ไว้ดังนี้

MicrosoftTeams-image (519)

Source: BLS Global Investing, as of 25/09/64

 

ภาพรวมกลุ่ม Healthcare สหรัฐฯ

ประเทศสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีมูลค่า GDP คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 25% ของ GDP ทั้งโลก ขณะที่มูลค่า Market Capitalization ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ คิดเป็นราว 40% ของมูลค่า Market Capitalization ของโลก นักลงทุนอาจมีคำถามต่อว่า เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงมากเกินไป หรือแพงเกินไปหรือไม่ ซึ่งคุณเอิร์ธได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ดังนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีความเป็นสากล จึงทำให้หลายบริษัทจีนและประเทศอื่น ๆ ต่างต้องการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมไปถึง ETF หลายกองที่เข้าลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เยอรมัน จีน ฮ่องกง ยุโรป ฯลฯ ที่เลือกจดทะเบียนใจตลาดสหรัฐฯ เช่นกัน จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มูลค่าตลาดสหรัฐฯ มีสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับทั้งโลก

 

ปัจจัยหนุนอุตสาหกรรม Healthcare สหรัฐฯ 

สามารถแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยหลักได้ ดังนี้

  1. Aging Society

ปัจจุบันประชากรสหรัฐฯที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มีจำนวนกว่า 54 ล้านคน คิดเป็นราว 20% ของประชากร โดย Morgan Stanley คาดประชากรกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 23% ภายในปี 68

  1. การใช้จ่ายด้านสุขภาพ

ยอดการใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคสหรัฐฯมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีสัดส่วนต่อ GDP เพิ่มขึ้นทุกปี โดยศูนย์บริการด้านประกันสุขภาพของสหรัฐฯ (CMS) คาดในปี 2583 อาจมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นสู่ราว 26% ต่อ GDP

  1. พฤติกรรมผู้บริโภค

การระบาดของโควิด-19 ทำให้การทำงานในธุรกิจ Healthcare ต้องหยุดชะงัก ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องชะลอการใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพไปด้วย จากผลสำรวจของ Morgan Stanley ในผู้บริโภคสหรัฐฯกว่า 2,000 ราย กว่า 73% มีความต้องการในการตรวจสุขภาพมากขึ้น และอีก 50% มีความต้องการที่จะเข้ารับการผ่าตัด หลังจากการระบาดของโควิด-19 จบลง

  1. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

นอกจากจะส่งเสริมการทำงานที่แม่นยำและรวดเร็วแล้ว การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการระบบการดูแลสุขภาพสามารถลดต้นทุนการจัดการได้ถึง 30%* ส่งผลให้ผู้คนสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น

*ข้อมูลจาก McKinsey

โอกาสการลงทุนในกลุ่ม Healthcare ในสหรัฐฯ

MicrosoftTeams-image (521)

Source: BLS Global Investing, as of 25/09/64

จากภาพ จะเห็นว่าในแง่ของ Valuation ของหุ้นกลุ่ม Healthcare ในปัจจุบันยังคงต่ำที่สุดในรอบหลายปี (ภาพซ้าย) และต่ำกว่าดัชนี S&P500 เช่นกัน (ภาพขวา) ขณะที่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นเริ่มกลับมา Outperform บ้างแล้ว และหากดูที่ผลประกอบการ กำไรต่อหุ้นของบริษัทกลุ่ม Healthcare มีการเติบโตทุกปี นับตั้งแต่ปี 56 ถึง ปี 63 ถึงแม้ในปี 63 จะมีการระบาดของโควิด-19 ก็ตาม

มาดูกันที่อุตสาหกรรม Healthcare ในประเทศจีนบ้าง…

หลังจากมีการระบาดของโควิด-19 จีนเพิ่มระดับความเข้มงวด ขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มความสำคัญของสุขภาพของคนในประเทศ ผนวกกับยุทธศาสตร์ชาติจีน 5 ปี ฉบับที่ 14 “Healthy China”

MicrosoftTeams-image (523)

Source: BLS Global Investing, as of 25/09/64

 

ในปัจจุบันทางการจีนเริ่มเข้าจัดระเบียบประเทศอย่างเข้มงวด อีกทั้งออกกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทภายในประเทศจีน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ และบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะของการผูกขาด แต่หากมาดูธุรกิจกลุ่ม Healthcare การจัดระเบียบยังน้อยกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากยังไม่มีบริษัทขนาดใหญ่ที่ผูกขาดภายในตลาดโดยรวม ดังนั้น Regulatory Risk ของธุรกิจกลุ่ม Healthcare จึงค่อนข้างต่ำ

MicrosoftTeams-image (520)

Source: BLS Global Investing, as of 25/09/64

 

โอกาสลงทุนในกลุ่ม Healthcare และหุ้นแนะนำในกลุ่ม Healthcare

MicrosoftTeams-image (522)

Source: BLS Global Investing, as of 25/09/64

สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามหุ้นรายตัว และต้องการกระจายการลงทุนด้วยการลงทุนผ่าน ETF เราก็มีแนะนำ ดังนี้

  • iShares Global Healthcare ETF (IXJ.US)
  • Health Care Select Sector SPDR Fund (XLV.US)
  • Global X MSCI China Health Care ETF (CHIH.US)
  • CSOP China Healthcare Disruption Index ETF Fund (3174.HK)

ด้านคุณปิ๊ก เสริมศักดิ์ กูรูด้านกองทุนของหลักทรัพย์บัวหลวงก็ได้ให้ความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับคุณเอิร์ธ รัฐศรัณย์ คือในระยะยาวธุรกิจ Healthcare มีอัตราการเติบโตสูง หลาย ๆ บริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้ามีโอกาสเติบโตเกิน 20-30% ต่อปี แต่อย่างไรก็ตามหลาย ๆ บริษัทก็ยังอยู่ในช่วงการวิจัยค้นคว้า ซึ่งหากสำเร็จก็จะสร้างรายได้อย่างมหาศาล แต่หากไม่สำเร็จก็อาจจะล้มหายตายจากไปได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงควรลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงด้วยกองทุนรวม

BLS Top Funds แนะทยอยสะสม 3 กองทุน Healthcare ตัวท็อป

  1. กองทุน BCARE จากบลจ.บัวหลวง ตั้งแต่ IPO สร้างผลตอบแทนมาแล้วกว่า 300% เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 10 ปี ลงทุนในบริษัทในอุตสาหกรรม Healthcare ทั่วโลกผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Wellington Global Health Care Equity Fund โดยจุดเด่นของกองทุนนี้คือลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่เติบโตมาในระดับหนึ่งและมีรายได้มั่นคง กลุ่มธุรกิจส่วนมากเป็นธุรกิจดั้งเดิม (Traditional) เช่น กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพหรือไบโอเทคโนโลยี, บริษัทผลิตยารักษาโรคซับซ้อน และผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ฯ กระจายลงทุนหลากหลายกลุ่มธุรกิจ
  1. กองทุน BCAP-XHEALTH จากบลจ.บางกอกแคปปิตอล มีความหวือหวามากกว่ากองทุน BCARE ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพรูปแบบใหม่ (New Innovation) เช่น ยีนบำบัด (Gene Therapy), ผู้ให้บริการพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine), Healthcare IT Infrastructure เป็นต้น จุดเด่นของกองทุนนี้คือแม้จะลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ซึ่งหลาย ๆ บริษัทอยู่ในช่วงการวิจัยค้นคว้าที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็กระจายลงทุนคือลงทุนแบบ Fund of Funds ผสมผสานทั้งกองทุน Active และ Passive ทำให้มีหุ้นในพอร์ตเกือบ 400 ตัว ไม่เทน้ำหนักให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป
  1. กองทุน LHHEALTH จากบลจ.แอล เอช ฟันด์ ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่เกี่ยวกับบริษัทในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ (Healthcare Industry) และบริษัทในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพที่เป็นนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ (Innovative Healthcare) เช่น การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกัน รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Worldwide Health Innovation Fund class B USD Acc

จุดเด่นของกองทุนนี้อยู่ที่กองทุนต้นทางบริหารโดย Baillie Gifford บลจ.ชื่อดังที่เคยฝากผลงานให้ได้ชมจากกองทุน ONE-UGG สร้างผลตอบแทนเกือบ 100% ในปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่ง Baillie Gifford โดดเด่นในเรื่องการหาหุ้นเติบโต (Growth Stock) ที่ในระยะยาวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี และมีทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์จากสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการแพทย์โดยเฉพาะ ทำให้มีความเข้าใจในธุรกิจและวิเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น

 

📌 ฟังสัมมนาฉบับเต็ม ย้อนหลังได้ผ่าน Bualuang iChannel ดูวิธีการคลิก

📌 ไม่อยากพลาดสัมมนาดี ๆ แบบนี้….เพียงเปิดบัญชีลงทุนต่างประเทศ กับ BLS Global Investing ได้ที่ https://bls.tips/openglobalinvesting

เปิดบัญชีกองทุนรวมออนไลน์กับหลักทรัพย์บัวหลวง สะดวก ง่าย ไม่ต้องส่งเอกสาร!!

คลิกเพื่อเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์

fund01

ติดตามความรู้ทางด้านการลงทุนดีๆ กับพวกเราได้ที่…

Facebook_Logo_(2019) youtube-icon-logo-05A29977FC-seeklogo.com tt

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง